‘อิชิตัน’ ลุยชาเขียวเจาะร้านค้าทั่วไปรับโต 10% สวนทางร้านสะดวกซิ้อ “ติดลบ”

‘อิชิตัน’ ลุยชาเขียวเจาะร้านค้าทั่วไปรับโต 10% สวนทางร้านสะดวกซิ้อ “ติดลบ”

  • 0 ตอบ
  • 59 อ่าน

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Jenny937

  • *****
  • 2838
    • บุคคลทั่วไป
    • ดูรายละเอียด
  • ชื่อ-นามสกุล: -
  • เบอร์ติดต่อ/โทรศัพท์มือถือ: -
  • ที่อยู่/สถานที่ติดต่อ: -
  • ระบุจังหวัด: -
  • ดูรายละเอียด
  • ข้อความส่วนตัว (ออฟไลน์)

     
   
 




อิชิตัน ลุยต่อตลาดชาเขียวพร้อมดื่ม ส่งสินค้าใหม่ ผสมวิตามิน เกาะกระแสผู้บริโภครักสุขภาพ สานกลยุทธ์บุกช่องทางจำหน่าย "ร้านค้าทั่วไป" หลังเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ร้านสะดวกซื้อเจอพิษโควิด "ล็อกดาวน์-เคอร์ฟิวส์" กระทบเปิด-ปิดร้าน ทำยอดขายดิ่ง

ตลาดชาเขียวผ่านยุคเฟื่องฟู ผู้ประกอบการขับเคี่ยวทำตลาด โปรโมชั่น หนุนการเติบโต และช่วงชิง “ส่วนแบ่งทางการตลาด” ทว่า การโหมแคมเปญ อัดเงินมหาศาลห้ำหั่นกัน จึงเป็นตัวเลขเติบโตที่ “ลวงตา” สุดท้าย ค่ายใหญ่ปรับเกมกันใหม่ เพื่อให้ธุรกิจมี “กำไร” ท่ามกลางตลาดหดตัว 

นอกจากนี้ ทิศทางตลาดที่ดิ่งลง ทำให้เจ้าพ่อชาเขียว “ตัน ภาสกรนที” ปรับตัว หาหมากรบใหม่ๆ บุกตลาดเครื่องดื่ม โดยเฉพาะ 1-2 ปีที่ผ่านมา “น้ำผสมวิตามิน” มาแรง จึงเบนทิศรับเทรนด์ เสริมพอร์ตโฟลิโอ ผลักดันให้ Non-Tea หรือธุรกิจที่ไม่ใช่เครื่องดื่มชาเขียว มาช่วยทำเงินอีกขา 

ทว่า ชาเขียวยังเป็นธุรกิจหลัก โจทย์ที่ผ่านมา คือการพยายามมุ่งเจาะช่องทางขายผ่าน “ร้านค้าทั่วไป” หรือ Traditional Trade: TT อย่างต่อเนื่อง เพราะการขายออก “เร็ว” ถูกกฎหมายเชื่อถือได้และยังทำ “กำไร” ในเกณฑ์ที่ดี 

ล่าสุด กลยุทธ์การทำตลาดชาเขียวพร้อมดื่ม “อิชิตัน” ได้เกาะกระแสสุขภาพ  ส่ง “อิชิตัน กรีนที เอ็กซ์”  เจาะกลุ่มเป้าหมาย โดยจุดขายของสินค้าใหม่ คือการจับชาเขียวมารวมกับหรือเอ็กซ์(X : Collaboration)กับวิตามิน เพื่อให้ผู้บริโภคได้คุณประโยชน์ครบจบในขวดเดียว จากชาเขียว และคุณค่าของวิตามิน A และวิตามิน C ซึ่งนำเข้าจากยุโรป รับกระแสสุขภาพ ฮอตฮิตในหมู่ผู้บริโภคชาวไทยอย่างมากท่ามกลางโควิดระบาด เพราะวิตามิน C  มีความสำคัญอย่างมากต่อร่างกาย มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิต้านทาน ให้ร่างกายพร้อมสู้กับเชื้อโรคอยู่เสมอ 

ทั้งนี้ อิชิตัน กรีนที เอ็กซ์ มาในขนาดใหม่ 350 มิลลิลิตร(มล.) ราคาคุ้มค่า 15 บาท การวางจำหน่ายยังครอบคลุมทุกช่องทางทั่วประเทศ แต่พื้นที่เชิงกลยุทธ์ครั้งนี้ ยังให้น้ำหนักช่องทางร้านค้าทั่วไปอย่างต่อเนื่อง 

‘อิชิตัน’ ลุยชาเขียวเจาะร้านค้าทั่วไปรับโต 10% สวนทางร้านสะดวกซิ้อ “ติดลบ”

สำหรับตลาดชาเขียวพร้อมดื่มมูลค่า 6,616 ล้านบาท ในช่วง 7 เดือนแรก(ม.ค.-ก.ค.64) ช่องทางร้านค้าทั่วไปมีการอัตราการเติบโตสูงขึ้นถึง 10.3% ไม่เพียงรองรับเทรนด์สุขภาพที่เติบโตแบบก้าวกระโดด แต่สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และมาตรการ “ล็อกดาวน์” รวมถึงการ “เคอร์ฟิวส์” ของภาครัฐ ทำให้จำกัดเวลาเปิด-ปิดร้านสะดวกซื้อ(CVS) จนกระเทือนตลาดหดตัว 11.7% อีกช่องทางที่เติบโตคือห้างค้าปลีกสมัยใหม่(Modern trade) มีการเติบโต 17.7% 

ขณะที่สัดส่วนช่องทางขายเป็นดังนี้ ร้านค้าทั่วไปยังใหญ่สุด 46.6% ร้านสะดวกซื้อ 43.9% และโมเดิร์นเทรด 9.6% 

ออกสินค้าใหม่บุกตลาด สิ่งที่ “อิชิตัน” ใชเป็นอาวุธเจาะกลุ่มเป้าหมายควบคู่กันคือการดึงศิลปิน นักแสดง ไอดอลชื่อดังเป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่คราวนี้ เอาใจสายวาย(ผู้บริโภคที่ชื่นชอบกระแสนักแสดงชายรักชาย) ด้วยการคว้าคู่จิ้น จิมมี่ – กานต์ กฤษณะพันธ์ และ ทอมมี่ – สิทธิโชค เผือกพูลผล หรือ “มี่ทู” ที่กำลังโกอินเตอร์กับผลงานซีรีส์วาย ไทย X เกาหลี เรื่อง “Peach Of Time” ขึ้นแท่นพรีเซนเตอร์เบอร์แรกด้วย 

นอกจากนี้ ยังเอาใจเหล่าเกมเมอร์อย่างต่อเนื่อง จึงตอกย้ำมแผนการสื่อสารเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความสนใจเกมออนไลน์ ทั้งการเล่นและการดูสตรีม ด้วยการร่วมสนับสนุนศึกใหญ่อันดุเดือด Free Fire Pro League Season 5 เพื่อเฟ้นหาสุดยอดทีมนักสู้ระดับประเทศ ดันเกมเมอร์ไทยให้ดังไกลในระดับโลก  

‘อิชิตัน’ ลุยชาเขียวเจาะร้านค้าทั่วไปรับโต 10% สวนทางร้านสะดวกซิ้อ “ติดลบ”

 อย่างไรก็ตาม การออกสินค้าใหม่ อิชิตัน กรีนที เอ็กซ์ ที่ผสมวิตามิน การใช้พรีเซ็นเตอร์ เอาใจเหล่าเกมเมอร์ ยังตอบไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคดิจิทัล ที่ใช้ชีวิตภายใต้วิกฤติโควิด ซึ่งยังคงใช้มือถือ ออนไลน์มากขึ้น  เช่น คนรุ่นใหม่ใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์นานถึง 11.25 ชั่วโมงต่อวัน ทั้งเรียนออนไลน์ ตามติดซีรีย์ดัง ปั่นยอดวิวยูทูป รวมถึงเล่นเกมออนไลน์ และข้อมูลพบว่าคนไทย 83.9% เล่นเกมออนไลน์ทุกสัปดาห์ สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก

สำหรับสินค้าใหม่ จะเป็นจิ๊กซอว์ผลักดันรายได้ของอิชิตันปีนี้ให้โต 10% ขณะที่ครึ่งปีแรกมีรายได้ 2,780.5 ล้านบาท เติบโต 4.7% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยตลาดในประเทศเติโตถึง 20.5% ส่วนรายได้ต่างประเทศหดตัว 43.1% ด้านกำไรสุทธิอยู่ที่ 285.9 ล้านบาท ลดลง 7.3%