ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพฤหัสบดี(26ส.ค.)ปรับตัวร่วงลง 53 จุด 

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพฤหัสบดี(26ส.ค.)ปรับตัวร่วงลง 53 จุด 

  • 0 ตอบ
  • 77 อ่าน

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Jessicas

  • *****
  • 2373
    • บุคคลทั่วไป
    • ดูรายละเอียด
  • ชื่อ-นามสกุล: -
  • เบอร์ติดต่อ/โทรศัพท์มือถือ: -
  • ที่อยู่/สถานที่ติดต่อ: -
  • ระบุจังหวัด: -
  • ดูรายละเอียด
  • ข้อความส่วนตัว (ออฟไลน์)

     
   
 




ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ร่วงลง 53.39 จุด หรือ 0.15% ปิดที่ 35,352.11 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลง 10.14 จุดหรือ 0.23% ปิดที่ 4,486.05 จุด และดัชนีแนสแด็ก ร่วงลง 22.96 จุด หรือ 0.15% ปิดที่ 15,018.90 จุด

นักลงทุนจับตาการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง โดยคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ในการประชุมดังกล่าว

การประชุมปีนี้จะเป็นการเสวนาผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เป็นปีที่ 2 เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ในการประชุมแจ็กสัน โฮลปีนี้ นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด จะกล่าวสุนทรพจน์ในประเด็น “แนวโน้มเศรษฐกิจ” โดยเขามีกำหนดกล่าวถ้อยแถลงในวันนี้ เวลา 10.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 21.00 น.ตามเวลาไทย

นักลงทุนคาดหวังว่า นายพาวเวลจะเปิดเผยโร้ดแมพที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับลดวงเงินคิวอีหลังจากที่เฟดได้ส่งสัญญาณในรายงานการประชุมประจำเดือนก.ค.ว่า กรรมการส่วนใหญ่สนับสนุนให้เฟดเริ่มปรับลดวงเงินคิวอีในปีนี้ จากปัจจุบันที่เฟดซื้อพันธบัตรตามมาตรการคิวอีอย่างน้อย 1.2 แสนล้านดอลลาร์/เดือน


อย่างไรก็ดี หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า นักวิเคราะห์หลายรายคาดการณ์ว่า นายพาวเวลจะยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการว่า เฟดพร้อมที่จะเริ่มปรับลดวงเงินคิวอีในการประชุมประจำปีของเฟดในครั้งนี้

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

“เราคาดว่านายพาวเวลรับรู้เป็นอย่างดีทั้งในเรื่องการจ้างงานที่แข็งแกร่งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และความเสี่ยงช่วงขาลงที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เรายังคงคาดการณ์ว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะส่งสัญญาณเตือนในเดือนก.ย. และจากนั้นในเดือนพ.ย.จึงจะประกาศการปรับลดวงเงินคิวอี” นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์กล่าว

ทางด้านนายทิม ดอย หัวหน้านักวิเคราะห์จากเอสจีเอช แมคโคร แอดไวเซอร์ส คาดการณ์เช่นกันว่า เฟดอาจจะประกาศปรับลดวงเงินคิวอี ในเดือนพ.ย. โดยกล่าวว่า “ข้อมูลที่ได้รับเมื่อไม่นานมานี้แสดงให้เห็นว่า โพลสำรวจส่วนใหญ่บ่งชี้ว่าเดือนพ.ย.จะเป็นเดือนที่เฟดประกาศลดวงเงินคิวอีเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตาอาจจะทำให้เฟดยังไม่ตัดสินใจประกาศเรื่องดังกล่าวในเดือนก.ย.

รายงานการประชุมประจำเดือนก.ค.ของเฟดระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่เห็นพ้องที่จะเริ่มปรับลดวงเงินคิวอีในปีนี้ แต่ในรายงานไม่ได้ระบุกำหนดเวลาที่ชัดเจน

นอกจากนี้ ผู้สันทัดกรณีให้ความเห็นว่า เนื่องจากขณะนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังอยู่ในระหว่างการตัดสินใจว่าจะต่ออายุการดำรงตำแหน่งประธานเฟดของนายพาวเวลออกไปอีก 1 ปีหรือไม่ จึงทำให้คาดว่านายพาวเวลจะไม่นำตำแหน่งของเขามาเสี่ยงกับเรื่องนี้ เนื่องจากหากเขาประกาศปรับลดวงเงินคิวอีอย่างไม่ระมัดระวัง ก็อาจทำให้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเกิดความตื่นตระหนก และทรุดตัวลงอย่างหนักได้ ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 2556 ในสมัยของนายเบน เบอร์นันเก้ ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อตัวนายพาวเวลเอง

ที่ผ่านมา การประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮล ถือเป็นการประชุมที่ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยมีผู้ว่าการธนาคารกลาง รัฐมนตรีคลัง นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน จากประเทศต่างๆทั่วโลก เข้าร่วมการประชุม ขณะที่ไฮไลท์จะอยู่ที่การกล่าวปาฐกถาของประธานเฟดในขณะนั้นเพื่อแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับนโยบายการเงินของเฟด และแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ

นายพาวเวลได้กล่าวสุนทรพจน์ครั้งสำคัญในการประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮลเมื่อปีที่แล้ว โดยได้ประกาศการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินครั้งใหญ่ในการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ ซึ่งเฟดจะเปิดทางให้เงินเฟ้อดีดตัวขึ้นมากกว่าเดิมเพื่อสนับสนุนตลาดแรงงาน และเศรษฐกิจสหรัฐ

ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 2/2564 โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 6.6% ในไตรมาส 2 สูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ที่ระดับ 6.5% หลังจากที่ขยายตัว 6.3% ในไตรมาส 1

อย่างไรก็ดี ตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.7%

ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 353,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว จากระดับ 349,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้านี้

นอกจากนี้ ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานดังกล่าวสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 350,000 ราย

ส่วนจำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องลดลง 3,000 ราย สู่ระดับ 2.86 ล้านราย