'สมาคมตราสารหนี้ไทย' ยันไม่เห็นสัญญาณ 'หุ้นกู้ดีฟอลต์' เพิ่ม

'สมาคมตราสารหนี้ไทย' ยันไม่เห็นสัญญาณ 'หุ้นกู้ดีฟอลต์' เพิ่ม

  • 0 ตอบ
  • 71 อ่าน

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Ailie662

  • *****
  • 2858
    • บุคคลทั่วไป
    • ดูรายละเอียด
  • ชื่อ-นามสกุล: -
  • เบอร์ติดต่อ/โทรศัพท์มือถือ: -
  • ที่อยู่/สถานที่ติดต่อ: -
  • ระบุจังหวัด: -
  • ดูรายละเอียด
  • ข้อความส่วนตัว (ออฟไลน์)

     
   
 




นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) เปิดเผยว่า การระบาดของโควิด -19 ที่รุนแรงขึ้นในช่วงนี้ ในช่วงนี้ต้องอาศัยความระมัดระวังในการออก "หุ้นกู้" เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะขายไม่หมด และนักลงทุนจะระมัดระวังในการลงทุนหุ้นกู้ในสถานการณ์เช่นนี้ 

ขณะที่ ผู้ออกหุ้นกู้ที่ขอยืดอายุหุ้นกู้ไปแล้ว ถ้าต้องการออกหุ้นกู้ใหม่ ก็อาจจะเหนื่อยขึ้น เพราะว่าปัจจุบันตอนนี้สัดส่วน80% เป็นกลุ่มหุ้นกู้ไฮยิลด์ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันกันหมด และผู้ที่ขอยืดหุ้นกู้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มไฮยิลด์ ถ้าจะออกเพิ่มต้องมีหลักทรัพย์มาค้ำทีประกันเพิ่มมากขึ้น เพราะเชื่อว่านักลงทุน มีความระมักระวังการลงทุนอยู่แล้ว คงไม่ได้ดูแค่ผลตอบแทนการลงทุนอย่างเดียว

“คาดคงจะไม่เห็นหุ้นกู้ไฮยิลด์ชำระหนี้หุ้นกู้ไม่ได้ตามกำหนด หรือดีฟอลเพราะผู้ออกหุุ้นกู้ไฮยิลด์เดิมนั้นมีการยืดหนี้ไปแล้ว และคาดว่าคงจะไม่มีรายใหญ่ออกหุ้นกู้ดังกล่าว เพราะนักลงทุนอาจไม่สนใจซื้อในสถานการณ์ขณะนี้”

สำหรับในปีนี้ผู้ออกหุ้นกู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด เรายังพบว่า ยังคงเป็นรายเดิมๆ ที่ได้รับผลกระทบตั้งแต่ปีก่อน ทำให้มีหุ้นกู้บางส่วนที่ขอยืดอายุชำระหนี้หุ้นกู้ออกไป และยังขอต่ออายุยืดหนี้ออกไปอีกเพราะการระบาดโควิด-19ลากยาวกว่าที่คาดในปีนี้ โดยผู้ออกหุ้นกู้ได้ขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้แล้วซึ่งผู้ถือหุ้นกู้ ก็เข้าใจสสถานการณ์เช่นนี้ดีว่าเป็นเหตุสุดวิสัย และยังคงยืดอายุชำระหนี้ให้ ซึ่งไม่น่าเป็นห่วง

ขณะที่สถานการณ์การออกหุ้นกู้ในช่วง 7 เดือนแรกปีนี้ อยู่ที่ 6.04 แสนล้านบาทเพิ่มขึ้น 52%เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน  โดยนหุ้นกู้ครบกำหนดในปีนี้ โดยเดือนส.ค.ถึงสิ้นปีนี้ จะมีหุ้นกู้ครบกำหนดราว 3.3 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้สัดส่วนถึง 92% เป็นหุ้นกู้ระดับอินเวสต์เมนต์ เกรดเชื่อว่าจะไม่มีประเด็นการโรลโอเวอร์ ขณะที่ในหุ้นกู้ไฮยิลด์ ราว 2.5 หมื่นล้านบาท ที่ออกมาตั้งแต่ช่วงต้นปีมานี้ สัดส่วนกว่า 80% เป็นการออกที่มีหลักทรัพย์หรือมีผู้ค้ำประกัน ซึ่งเป็นส่วนที่เข้ามาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน

นางอาริยา กล่าวว่า คาดการประชุมกนง. ในวันนี้ น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่0.5% เนื่องจาก เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าลงจากการระบาดของโควิด-19 และ ธปท. ได้ทำการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ธุรกิจ เอสเอ็มอีและหนี้ครัวเรือน ความจำเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจึงลดลง