สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เผย
ดัชนีความเชื่อมั่นเดือนกันยายนเพิ่มขึ้นสองเท่า หลังรัฐผ่อนคลายมาตรการควบคุมแบบเข้มงวด จี้รัฐฟื้นมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ปลุกเศรษฐกิจ ฟากผู้ประกอบการยังคงกังวลปัญหาจำนวนวัคซีน ภาระค่าใช้จ่ายตามมาตรการสาธารณสุขที่พุ่งขึ้นเกือบสามเท่า ด้านประชาชน 90% ยังไม่เชื่อมั่นเดินหน้านโยบายเปิดประเทศ 120 วัน
วันที่ 1 ตุลาคม 2564 นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นค้าปลีกในเดือนกันยายนส่งสัญญาณที่ดีโตขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคมในปีเดียวกัน เป็นผลจากมาตรการการผ่อนปรนให้เปิดกิจการและธุรกิจเพิ่มเติมในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า และคอมมูนิตี้มอลล์
ส่งผลให้ความถี่ในการจับจ่าย Frequency of Shopping เพิ่มมากขึ้น แต่ยอดการใช้จ่ายต่อครั้ง Spending per Basket เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย สะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และต้องการการกระตุ้นจากภาครัฐเพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ โดยมีข้อสรุปของดัชนีความเชื่อมั่นในประเด็นที่สำคัญ ดังต่อไปนี้
1.ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก Retail Sentiment Index (RSI) เดือนกันยายน 2564 ปรับตัวดีขึ้นกว่าสองเท่าอย่างชัดเจน จากที่ระดับ 25.0 ในเดือนสิงหาคม มาอยู่ที่ระดับ 59.0 ในเดือนกันยายน หลังการประกาศผ่อนคลายมาตรการของรัฐ ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก RSI ในอีก 3 เดือนข้างหน้าก็ปรับตัวดีจากระดับที่ 47.8 เดือนสิงหาคม มาอยู่ที่ระดับ 63.8 ในเดือนกันยายน ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียง 25% ในขณะที่ความเชื่อมั่นสภาวะปัจจุบันเพิ่มขึ้นกว่า 200% สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการยังมีความวิตกกังวลอยู่มากของมาตรการการผ่อนคลาย และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังไม่มีความชัดเจน
2.ดัชนีความเชื่อมั่น RSI แยกตามภูมิภาค ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการต่อยอดขายเดิมเดือนกันยายนดีขึ้นอย่างชัดเจนในทุกภูมิภาค และอยู่เหนือระดับค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 ยกเว้น ภาคเหนือ และภาคใต้ ซึ่งยังต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 ต่อเนื่องมานับจากเดือนพฤษภาคม เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่ถูกผลกระทบจากการท่องเที่ยว ที่หดหาย และการเลื่อนการบินภายในประเทศ
3.ดัชนีความเชื่อมั่น RSI แยกตามประเภทร้านค้าปลีก มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกประเภทธุรกิจอย่างชัดเจน โดยเฉพาะร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ตกแต่ง ซ่อมบำรุง (Hard Line) แต่ในขณะที่ร้านค้าปลีกประเภทร้านสะดวกซื้อที่ดัชนีความเชื่อมั่นยังอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 เป็นผลจากมาตรการเคอร์ฟิว ส่งผลกระทบยอดขายในรอบดึกซึ่งมีสัดส่วนราว 35% ของยอดขายต่อวันหายไป รวมถึงมาตรการ WFH และการปิดสถานศึกษา ส่งผลให้ปริมาณลูกค้าลดน้อยลง
ทั้งนี้ ยังมีบทสรุปประเด็นสำคัญของ “การประเมินผลกระทบต่อยอดขายและกำลังซื้อและแนวโน้มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จากมุมมองผู้ประกอบการ” ในเดือนกันยายน ดังนี้
1. 68% ผู้ประกอบการคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาส 3 น่าจะหดตัวถึง 30% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
2. 57% ผู้ประกอบการระบุว่ายอดขายในไตรมาส 3 น่าจะลดลงมากกว่า 50% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว
3. 73% ของผู้ประกอบการคาดว่า สถานการณ์จะกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 ซึ่งเป็นผลจากการกระจายวัคซีนให้กับประชาชนได้ตามเกณฑ์
4. 26% จะเปิดเป็นบางส่วนหรือปิดชั่วคราว แม้ว่าภาครัฐจะผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ก็ตาม
5. ปัจจัยที่ส่งผลต่อธุรกิจของในสถานการณ์ปัจจุบัน ได้แก่ 83% มาตรการเคอร์ฟิวมีผลต่อยอดขายมาก,58% กำลังซื้อผู้บริโภคหดหาย ไม่ฟื้นตัวเร็ว, 42% ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น,33% มีบุคลากรที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนอีกมาก,33% ค่าใช้จ่ายตามประกาศ Covid Free Setting บานปลาย
6. 90% ไม่มีความมั่นใจในนโยบายที่ภาครัฐประกาศจะเปิดประเทศ 120 วัน
อย่างไรยังได้ยื่น 4 ข้อเสนอต่อภาครัฐ เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น ได้แก่ 1.ภาครัฐต้องเร่งฟื้นโครงการ “ช้อปดีมีคืน” อย่างเร่งด่วน เพื่อสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ กระตุ้นมู้ดการจับจ่ายในช่วงไฮซีซั่นให้กลับมาคึกคัก 2.ภาครัฐใช้มาตรการทางภาษีเพื่อช่วยผู้ประกอบการในด้านค่าใช้จ่ายทางสาธารณสุข นอกเหนือจากการลดหย่อนภาษี 1.5 เท่าของค่าใช้จ่าย ATK
3.ภาครัฐต้องสร้างความชัดเจนในการนำมาตรการ Covid Free Setting และ Universal Prevention โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการสามารถปฏิบัติได้ง่ายและมีขั้นตอนที่ชัดเจน 4.ภาครัฐเร่งการกระจายการฉีดวัคซีนให้รวดเร็วและเข้าถึงประชาชนมากกว่า 70% ของประชากรทั้งหมดของประเทศ
“จะเห็นได้ว่ามาตรการผ่อนปรนฯ เป็นกุญแจสำคัญที่เรียกความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจกลับคืนมา และยังเป็นการสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบค้าปลีกและบริการได้อย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรเร่งการกระจายการฉีดวัคซีน ให้ได้ 70% ของประชากรทั้งประเทศตามที่ได้ตั้งเป้าไว้ เพื่อจะได้เปิดประเทศอย่างปลอดภัยและเร็วที่สุด อีกปัจจัยที่สำคัญ ที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นโค้งสุดท้ายของปีนี้ ผมขอเสนอให้นำมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” กลับมาใช้อย่างเร่งด่วน เพราะจะเป็นการอัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ”