4 แบงก์ใหญ่พร้อมปรับธุรกิจสู่ดิจิทัล-เตือนเกิดการผูกขาดอำนาจทางเศรษฐกิจ

4 แบงก์ใหญ่พร้อมปรับธุรกิจสู่ดิจิทัล-เตือนเกิดการผูกขาดอำนาจทางเศรษฐกิจ

  • 0 ตอบ
  • 71 อ่าน

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

luktan1479

  • *****
  • 3464
    • บุคคลทั่วไป
    • ดูรายละเอียด
  • ชื่อ-นามสกุล: -
  • เบอร์ติดต่อ/โทรศัพท์มือถือ: -
  • ที่อยู่/สถานที่ติดต่อ: -
  • ระบุจังหวัด: -
  • ดูรายละเอียด
  • ข้อความส่วนตัว (ออฟไลน์)

     
   
 




อนุสรณ์เปิดมุมมองอนาคตธุรกิจการเงินการธนาคารไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ชี้ 4 แบงก์ใหญ่พร้อมปรับธุรกิจสู่ดิจิทัล เตือนอาจเกิดการผูกขาดอำนาจทางเศรษฐกิจ แนะส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า อนาคตธุรกิจการเงินการธนาคารไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก จะมีการขยายพรมแดนทางธุรกิจออกไป พลวัตนี้ส่งผลบวกต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและตลาดการเงิน เพิ่มบทบาทของอุตสาหกรรมการเงินการธนาคารต่อเศรษฐกิจไทยมากขึ้นกว่าเดิม อาจทำให้การผูกขาดอำนาจทางเศรษฐกิจแข็งตัวขึ้น ฉะนั้นต้องส่งเสริมให้เกิดสภาวะการแข่งขันทางเศรษฐกิจที่เป็นธรรม และ เปิดพื้นที่ให้รายเล็กรายกลางสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ 

สถาบันการเงินขนาดเล็ก ธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อขนาดเล็ก กิจการแพลตฟอร์มขนาดเล็กต้องมีการปรับตัวให้อยู่รอด หลังการปรับโครงสร้างใหม่ของธนาคารไทยพาณิชย์สู่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีทางการเงิน ธนาคารขนาดใหญ่ของไทยอย่างน้อยสี่แห่งมีความพร้อมสามารถเดินหน้าสู่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีการเงินได้เช่นเดียวกัน โดยธุรกิจการให้บริการการเงินของธนาคารแบบดั้งเดิม Traditional Banking Service จะลดบทบาทลงอย่างรวดเร็ว ธนาคารใดที่มีการลงทุนในส่วนนี้ไว้มากเกินไปจะมีภาระต้นทุนสูงกว่าคู่แข่ง 

ขณะที่การให้บริการการเงินและปล่อยสินเชื่อแบบดิจิทัล (Digital Financial Service) และธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม การลงทุนและการบริการทางด้านเทคโนโลยีที่ใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่และเทคโนโลยีบล็อกเชน จะเป็นอนาคตของกลุ่มธุรกิจการเงิน สิ่งนี้จะทำให้ราคาหุ้นของกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ปรับตัวสูงขึ้นจากการคาดการณ์การเติบโตของผลกำไรในอนาคตในระยะปานกลางและระยะยาว ส่วนในระยะสั้นนั้น การขยายตัวของสินเชื่อและปัญหาหนี้เสียยังคงได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจโควิด-19 (Covid-19)


การขยับตัวของธนาคารขนาดใหญ่จะทำให้บรรดาธุรกิจบริการทางการการเงินขนาดย่อม ขนาดเล็กและขนาดกลางที่ไม่มีฐานลูกค้ากลุ่มเป้าหมายชัดเจนได้รับผลกระทบและต้องปรับตัว แม้การขยายตัวของการร่วมทุนของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ทำให้ภาคธุรกิจมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพิ่มความมั่งคั่งให้ผู้ถือหุ้น แต่อาจทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจ มีกลุ่มธุรกิจ Too big to fail หรือใหญ่เกินกว่าที่จะปล่อยให้ล้มมากขึ้น อันนำมาสู่ความเสี่ยงของภาระต่อเงินสาธารณะในอนาคต หรืออาจทำให้เกิดจริยวิบัติ (Moral Hazard) 

เวลาเราพูดถึงการทำหน้าที่ของผู้บริหารระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นกรรมการบริษัทมหาชนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือฝ่ายจัดการ ต้องทำหน้าที่อย่างรับผิดชอบ (Fiduciary Duty) ซึ่งแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ (Duty of Loyalty) และ ทำหน้าที่ด้วยความระมัดระวังรอบคอบ (Duty of Care) ซึ่งต้องรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด ไม่เฉพาะผู้ถือหุ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องทำรายการระหว่างกัน จึงทำให้กิจการมีความยั่งยืนในระยะยาว

สำหรับการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา Too big to fail หรือ Moral Hazard ต้องอาศัย กฎระเบียบที่ทันสมัย และ การกำกับดูแลกิจการที่เหมาะสมโดยทำหน้าที่อย่างมืออาชีพ กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีการเงินและกลุ่มธุรกิจธนาคารมีการควบรวมจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นบริษัท Square กับ บริษัท Afterpay หรือ Bill.com กับ Invoice2go หรือ U.S. Bank กับ PFM Asset Management เป็นต้น และต้องมีกฎระเบียบคอยกำกับไม่ให้มีส่วนแบ่งตลาดใหญ่มากจนมีอำนาจเหนือตลาดได้

อย่างไรก็ดี  การเปลี่ยนผ่านจากยุคอนาล็อกสู่ยุคดิจิทัลของภาคการเงินการธนาคาร เทคโนโลยีอนาล็อกเป็นตัวขับเคลื่อนในยุคอุตสาหกรรมการเงินการธนาคารแบบเดิม เมื่อเทคโนโลยีดิจิทัลในยุคสารสนเทศทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจ วิธีการทำธุรกิจ พฤติกรรมผู้บริโภค วิถีชีวิตและวัฒนธรรม เทคโนโลยีดิจิทัลทำให้สำเนาสิ่งต่างๆเกิดขึ้นมากมายและเข้าถึงได้ฟรีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เทคโนโลยีทำให้เกิดการเข้าถึงสินค้าและบริการมากมายได้ง่ายขึ้นในราคาที่ถูกลง ภาคธุรกิจการเงินการธนาคารจึงต้องปรับตัวครั้งใหญ่ เทคโนโลยีที่ทำให้เกิดการปล่อยสินเชื่อบุคคลสู่บุคคล ธุรกิจอื่นๆสามารถขยายมาให้บริการทางการเงินได้ ทำให้บทบาทและธุรกิจของธนาคารแบบเดิมลดลงไปในอัตราเร่ง การที่ผลกำไรของกลุ่มธุรกิจธนาคารยังดีอยู่เป็นเพราะโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจไทย

อนุสรณ์ ธรรมใจ 
อนุสรณ์ ธรรมใจ

 อย่างไรก็ตาม ผลกำไรของกลุ่มธนาคารไม่ได้สะท้อนมาที่ราคาหุ้นธนาคารมากนักในช่วงที่ผ่านมาจากโครงสร้างองค์กรที่เป็นอุปสรรคต่อการปลดปล่อยมูลค่าทางธุรกิจให้สะท้อนมาที่ราคาหุ้น การจัดโครงสร้างใหม่ของกลุ่มธุรกิจธนาคารและการเงินรวมทั้งการขยายพรมแดนทางธุรกิจโดยอาศัยฐานลูกค้าที่มีอยู่จะทำให้ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ปรับตัวสูงขึ้น และ สร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเพื่อการควบรวมของธนาคารขนาดเล็กอีกครั้งหนึ่ง 

นอกจากนี้ เราจะเห็นการหลอมรวมของธุรกิจธนาคาร ธุรกิจโทรคมนาคม ธุรกิจสื่อสังคมออนไลน์ ธุรกิจค้าปลีกและเครือข่ายมากขึ้น องค์กรที่จะอยู่รอดได้จึงจำเป็นต้องมีการร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจข้ามอุตสาหกรรม หรือ จำเป็นต้องทำธุรกิจแบบครบวงจรมากขึ้น ด้วยการผนวกรวม ทั้งแนวตั้งและแนวนอน (Verticle and Horizontal Integration) จะเกิดนวัตกรรมมากขึ้นในภาคธุรกิจไทยจากการลงทุนใน ธุรกิจสตาร์อัพร่วมกันของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ แม้การผนวกรวมธุรกิจหรือกิจการทั้งแนวตั้งและแนวนอน จะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยต่อธุรกิจข้ามชาติระดับภูมิภาคหรือระดับโลกได้ดีขึ้น เพิ่มบทบาทและการขยายกิจการของธุรกิจขนาดใหญ่ในเศรษฐกิจภูมิภาค ประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจดีขึ้น แต่อาจทำให้มิติความเป็นธรรมและการกระจายความมั่งคั่งและรายได้อ่อนแอลง และทำให้อำนาจผูกขาดในระบบเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้นได้

นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า มีการหลอมรวมของภาคเศรษฐกิจสำคัญและกิจการหลายอย่างเข้าด้วยกัน เช่น การหลอมรวมกิจการทางด้านโทรคมนาคม กับ เทคโนโลยีสารสนเทศ และ สื่อสารมวลชน มีการบูรณาการกันระหว่างธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมกับธุรกิจบริการทางการเงิน มีการทำงานแบบเครือข่ายเพิ่มขึ้นในภาคการผลิต ภาคบริการอย่างมากมายอันเป็นผลจากเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดการเชื่อมโยงได้มากขึ้น เศรษฐกิจยุคดิจิทัลทำให้เกิดการทำงานแบบเครือข่าย เชื่อมโยงทุกอย่างเข้ากับโลกอินเตอร์เน็ตไม่ว่าจะเป็น ระบบการผลิต หุ่นยนต์ เครื่องจักรอัตโนมัติและการทำงานของมนุษย์ เครื่องจักรในโรงงานหรือเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องมือสื่อสาร มือถือและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สามารถทำงานประสานกันแบบอย่างมีพลวัต (Dynamic) มีการสื่อสารระหว่างเครื่องจักรกับเครื่องจักร (M2M) และ เครื่องจักรกับมนุษย์ (M2H) ก่อให้เกิดแพลตฟอร์มหรือโครงสร้างพื้นฐานการทำงาน Digital Platform ได้ทุกพัฒนามากขึ้นจนกลายเป็นธุรกิจสำคัญ

เมื่อเราต้องก้าวสู่ยุคใหม่ของ Digital Platform บุคลากรที่มีความสามารถทางด้าน digital ไม่ได้มีเยอะ Workforce Portfolio จะเปลี่ยนแปลงไป ต่อไปการหาคน จะเพิ่มความยากมากขึ้น ไม่ใช่คนเกิดน้อยลง แต่ความสามารถและคุณภาพของระบบการศึกษาไทยที่ผลิตคนออกมาไม่เข้ากับระบบการผลิตการบริหารในอนาคต การจ้างงานจำเป็นต้องเปลี่ยนรูปแบบไปเพื่อตอบสนองต่อการขาดแคลนแรงงานและทักษะในบางสาขา เราอาจจะไม่เจอการจ้างงานแบบตลอดชีวิตหรือ Performance Time อีกต่อไป จะกลายเป็นจ้างงานแบบ Co-partner หรือ Strategic partner ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้เราต้องใช้ digital เข้ามาช่วย 

ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่าน Transformation และเราอาจต้องเปิดเสรีตลาดแรงงานวิชาชีพชั้นสูงเพื่อให้สามารถได้ผู้เชี่ยวชาญและมีความสามารถพิเศษเข้ามาทำงานในระบบเศรษฐกิจไทย แต่ต้องพัฒนากลไกและระบบในการถ่ายเทความรู้ความสามารถรวมทั้งนวัตกรรมให้กับสถานประกอบการสัญชาติไทยเพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถพึ่งพาตัวเองได้ในระยะยาว