'FinVest' ติดปีกนักลงทุนไทย ซื้อกองทุนทั่วโลกได้โดยตรง สร้างโอกาสทำกำไรมากกว่าเดิม

'FinVest' ติดปีกนักลงทุนไทย ซื้อกองทุนทั่วโลกได้โดยตรง สร้างโอกาสทำกำไรมากกว่าเดิม

  • 0 ตอบ
  • 73 อ่าน

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

deam205

  • *****
  • 2773
    • บุคคลทั่วไป
    • ดูรายละเอียด
  • ชื่อ-นามสกุล: -
  • เบอร์ติดต่อ/โทรศัพท์มือถือ: -
  • ที่อยู่/สถานที่ติดต่อ: -
  • ระบุจังหวัด: -
  • ดูรายละเอียด
  • ข้อความส่วนตัว (ออฟไลน์)

     
   
 



ติดปีกนักลงทุนไทย ด้วยแอปพลิเคชัน "FinVest" เป็นแอปพลิเคชันลงทุนแรกในประเทศไทย ที่มีฟีเจอร์ Offshore ให้นักลงทุนสามารถซื้อขายกองทุนต่างประเทศได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านคนกลาง

การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจในช่วงนี้ หลังหลายประเทศเริ่มฟื้นตัวจากการระบาดของโควิด-19 ผู้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เริ่มกลับมาเดินเครื่องอีกครั้ง ถือเป็นปัจจัยบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน    

นอกจากนี้ ยังช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในประเทศ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบหนักจากวิกฤตโควิด-19 จีดีพีไทยเสี่ยงหดตัวติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศแม้จะเริ่มลดลง แต่ยังทรงตัวในระดับสูงมากกว่า 10,000 คนต่อวัน ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยยังผันผวนสูง
ที่ผ่านมา

การลงทุนซื้อหวยออนไลน์ถูกกฎหมายในตลาดหุ้นต่างประเทศ นักลงทุนไทยส่วนใหญ่ต้องลงทุนผ่านกองทุนรวมคนกลาง ไม่สามารถลงทุนได้โดยตรงด้วยตนเอง ทำให้เสียค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อนหลายต่อ แถมยังมีให้เลือกลงทุนเพียงไม่กี่กองทุนเท่านั้น ส่วนถ้าอยากจะลงทุนกองทุนต่างประเทศโดยตรงก็จำกัดเฉพาะกลุ่ม เงินลงทุนขั้นต่ำก็สูงและต้องดำเนินการหลายขั้นตอนกว่าจะซื้อขายได้แต่ละครั้ง

แต่ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป ถ้าเลือกลงทุนผ่านแอปพลิเคชัน FinVest แอปพลิเคชันลงทุนแรกในประเทศไทยที่มีฟีเจอร์ Offshore ให้นักลงทุนสามารถซื้อขายกองทุนต่างประเทศได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านคนกลาง 

ภายใต้แนวคิด “ติดปีกการลงทุนให้คุณ” แอปพลิเคชัน FinVest ถูกพัฒนาขึ้นจากความร่วมมือของธนาคารกสิกรไทย, ลู อินเตอร์เนชันแนล บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการลงทุนระดับโลกในเครือผิงอันกรุ๊ป (Ping An Group) และ กลุ่มโรโบเวลธ์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน Wealth Tech โดยหวังที่จะปิด Pain point ที่เล่ามาข้างต้น ให้นักลงทุนไทยเข้าถึงการลงทุนได้ “ง่าย” ขึ้น
 


หลังจากเปิดตัวมาไม่ถึง 1 ปี ปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 130,000 บัญชี ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มทางเลือกและโอกาสทำกำไรให้กับนักลงทุนไทย จึงเป็นที่มาของฟีเจอร์ Offshore ที่จะพานักลงทุนไทยติดปีก บินไปได้ไกลกว่าเดิม

โดย FinVest ได้คัดเลือกกองทุนรวมกว่า 1,000 กองทุน จาก 33 บลจ. ชั้นนำทั่วโลก อาทิ Baillie Gifford, Schroder, BlackRock, UBS, Invesco, Matthews Asia, Nikko ARK, BNY Mellon ซึ่งผ่านการคัดเลือกโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ครอบคลุมทุกธีมเด่นตามเมกะเทรนด์โลก ให้นักลงทุนได้เลือกลงทุนได้ตามความสนใจของแต่ละท่าน

FinVest มีกองทุนให้เลือกหลากหลาย สอดคล้องกับเมกะเทรนด์โลก อาทิเช่น  Blockchain, Energy Transition, Healthcare Innovation ที่มีลงทุนในบริษัทผู้ผลิต Covid-19 vaccine ชั้นนำ, Smart Mobility, Global Growth ฯลฯ 

เรื่อง “ความง่าย” ก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญ เพราะ FinVest เริ่มต้นลงทุนง่าย สะดวกทุกขั้นตอน ครบ จบในแอปฯ เดียว ให้นักลงทุนสามารถเปิดบัญชีได้ทันทีผ่านสมาร์ทโฟน และเลือกผูกบัญชีได้หลายธนาคาร โดยสามารถซื้อกองทุนรวมต่างประเทศได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องซื้อผ่าน Feeder Fund ซึ่งปกติจะมีค่าบริหารจัดการกองทุนอยู่ที่ประมาณ 1-1.5% ทำให้นักลงทุนได้ผลตอบแทนเต็มเม็ดเต็มหน่วย กำหนดให้ลงทุนขั้นต่ำเพียง 30,000 บาทเท่านั้น 

ที่สำคัญ สามารถใช้สกุลเงินบาทซื้อกองทุนต่างประเทศได้เลย ไม่ต้องแลกเป็นสกุลเงินต่างประเทศก่อน เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มความคล่องตัวในการซื้อขายให้กับนักลงทุน นอกจากนี้ ยังมีทีมผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ อัพเดทข้อมูลข่าวสาร ชี้เป้ากองทุนเด็ดจากทั่วโลกเป็นประจำทุกสัปดาห์ ซึ่งทุกๆ กระบวนการอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


ทั้งนี้ มีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับนักลงทุนที่ซื้อขายโดยตรงบนแอปฯ FinVest ระหว่างวันนี้ – 15 พ.ย. 2564 โดยฟรีค่าธรรมเนียมจากการขายหน่วยลงทุน (Front-end-fee) แบบไม่มีเพดาน

สำหรับ 5 กองทุนแนะนำ ได้แก่

กองทุน Robeco Smart Mobility จาก UOBAM : ธีมการลงทุน Smart Mobility มาพร้อมกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่เริ่มเติบโตขึ้น โดยเน้นลงทุนในผู้นำทางด้านเทคโนโลยีและ disruptor ที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ไร้คนขับ การเดินทางในรูปแบบใหม่ๆ รูปแบบการใช้พลังงานที่จะเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้ามากขึ้น

กลุ่มอุตสาหกรรมที่กองทุนลงทุนได้แก่ EV Component 36%, EV Man.cturer 25%, Autonomous Driving & Share Mobility 24%, EV Infrastructure 15% 

โดยที่ผ่านมา กองทุนทำผลตอบแทนได้ 35.6% ในปี 2019 และ 61.3% ในปี 2020

กองทุน Global Energy Transition จาก Schroder ISF : ธีมการลงทุนในพลังงานสะอาดนอกจากจะเป็น megatrend และมีความจำเป็นสำหรับโลก โดยจะเน้นลงทุนระยะยาวใน 30-50 ในบริษัทที่มีส่วนในการเปลี่ยนแปลงการใช้พลังงานสะอาด และจะไม่ลงทุนในพลังงานเชื้อเพลิงแบบเดิม (fossil fuel) หรือพลังงานนิวเคลียร์ โดยกองทุน Global Energy Transition จาก Schroder ISF ซึ่งมุ่งลงทุนในบริษัทชั้นนำด้านธุรกิจและเทคโนโลยีพลังงานสะอาดระดับโลก เติบโต 91.9% ในปี 2563

กองทุน Blockchain Innovation จาก BNY Mellon : เน้นลงทุนใน 30-50 บริษัทที่นำนวัตกรรมบล็อกเชนมาปรับใช้ ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมการนำมาใช้เพื่อหารายได้หรือธุรกิจใหม่เพิ่มเติม หรือการนำมาปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานและลดต้นทุน

แม้ว่ากองทุนจะจัดตั้งขึ้นในปี 2019 ทีมลงทุนของ BNY Mellon มีการจัดการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับธีมการลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ Blockchain Technology มาตั้งแต่ปี 2015 พร้อมด้วยทีมงานวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและทีมการวิเคราะห์เชิงปริมาณเพื่อใช้คัดเลือกหุ้น โดยผลงานในปี 2020 กองทุนทำผลตอบแทนได้ 46.19%

กองทุน Healthcare Innovation จาก Schroder ISF : มีกลยุทธ์การลงทุนใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมย่อย เช่น การรักษาโดยเทคนิคพิเศษทางพันธุกรรม เทคโนโลยีทางการแพทย์ประเภทหุ่นยนต์ผ่าตัด การบริการทางการแพทย์อย่าง Telehealth การนำข้อมูลดิจิทัลเพื่อวิเคราะห์ร่างกาย และการดูแลสุขภาพ Wellbeing โดยลงทุนประมาณ 50-70 บริษัทเพื่อกระจายความเสี่ยง นอกจากนี้กองทุนฯ ยังถือหุ้นในบริษัทที่ผลิตวัคซีนโควิด-19 ที่เป็นที่ต้องการสูงทั่วโลก ทั้ง Johnson & Johnson, Pfizer, AstraZeneca

บริษัทจัดการกองทุนมีประสบการณ์ดูแลการลงทุนในอุตสาหกรรม Healthcare ตั้งแต่ปี 2000 ปัจจุบันมีผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่านประสบการณ์ในการลงทุนรวมกันกว่า 90 ปี ดูแลสินทรัพย์ลงทุนในกลยุทธ์นี้กว่า 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ สร้างผลตอบแทนปี 2020 ได้ 42.5%

กองทุน Long Term Global Growth จาก Baillie Gifford : เน้นลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสเติบโตโดดเด่น และมีความสามารถในการแข่งขันเหนือคู่แข่งในแต่ละอุตสาหกรรม โดยมีนโยบายกระจายการลงทุนในหุ้นทั่วโลก โดยไม่มีข้อจำกัดด้านภูมิภาค อุตสาหกรรม และมูลค่าตลาดของหุ้นที่ลงทุน  ปัจจุบันถือหุ้นทั้ง Facebook, Amazon, NetFlix, Tencent, Spotify, Moderna ฯลฯ 

กองทุนจะลงทุนในหุ้นประมาณ 30-60 บริษัท แต่ละบริษัทไม่เกิน 10% เน้นการลงทุนระยะยาวและตั้งเป้าหมายชนะดัชนีชี้วัดมากกว่า 3% ต่อปีอย่างสม่ำเสมอ เน้นการแสวงหาบริษัทที่เติบโตอย่างโดดเด่นจากทั่วโลก โดยในปี 2563 มีผลตอบแทน 95.62% 

ทั้งนี้ สำหรับผู้ต้องการทำความเข้าใจเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศเพิ่มเติม สามารถสมัครเข้าร่วมงานสัมมนาออนไลน์ (โปรแกรม Zoom) โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อเรียนรู้โอกาสเพิ่มกำไรด้วยการลงทุนตรงกองทุนต่างประเทศกับ FinVest และเข้าใจตลาดการเงินโลกยุคโควิด-19 จากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง ในหัวข้อ “ติดปีกการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ” วันที่ 5 ต.ค.64 เวลา 19.00-20.20 น.

ซึ่งจะได้พบกับวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน คุณกิตติ สุทธิอรรถศิลป์ ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงาน Strategic Initiatives & Industry Utility ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, คุณชลเดช เขมะรัตนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม Robowealth และมุมมองจากตัวแทนนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ คุณพสุ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บมจ. Proud Real Estate

ลงทะเบียนเพื่อรับลิงค์ zoom เข้าร่วมงานได้ที่ https://finvest.onelink.me/CoWV/1da81f97

ดาวน์โหลดและลงทะเบียนใช้ FinVest App. เพิ่มโอกาสทำกำไรกับการซื้อกองทุนต่างประเทศโดยตรงได้แล้ววันนี้ ที่ https://finvest.onelink.me/CoWV/d88bb9c6 และสามารถติดตามความรู้และอัพเดทข้อมูลด้านการลงทุนเพื่อไม่พลาดโอกาสทำกำไรได้ที่ https://bit.ly/3nWNSCm หรือเฟซบุ๊ก FinVest