ญี่ปุ่น & อเมริกา: เบื้องหลังการปฏิเสธวัคซีนและหายนะของเสรีภาพ

ญี่ปุ่น & อเมริกา: เบื้องหลังการปฏิเสธวัคซีนและหายนะของเสรีภาพ

  • 0 ตอบ
  • 71 อ่าน

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Thetaiso

  • *****
  • 2964
    • บุคคลทั่วไป
    • ดูรายละเอียด
  • ชื่อ-นามสกุล: -
  • เบอร์ติดต่อ/โทรศัพท์มือถือ: -
  • ที่อยู่/สถานที่ติดต่อ: -
  • ระบุจังหวัด: -
  • ดูรายละเอียด
  • ข้อความส่วนตัว (ออฟไลน์)

     
   
 




ภาพจาก AFP
คอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” โดย “ซาระซัง”

สวัสดีค่ะเพื่อนผู้อ่านทุกท่าน ในขณะที่คนมากมายทั่วโลกต้องการวัคซีนเหลือเกิน แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ลังเลหรือปฏิเสธวัคซีน ทำให้ความหวังที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่เป็นไปได้ยากขึ้น สัปดาห์นี้เรามาดูกันว่าอะไรทำให้คนญี่ปุ่นและคนอเมริกันบางกลุ่มไม่ยอมฉีดวัคซีน และการเลือกเสรีภาพที่จะไม่ฉีดวัคซีนของคนอเมริกันนำมาซึ่งราคาที่ต้องจ่ายอย่างไรบ้าง

กลัวผลข้างเคียงจากวัคซีน

หนึ่งในเหตุผลที่คนกังวลเกี่ยวกับวัคซีนมากที่สุด ดูเหมือนจะเป็นเรื่องผลข้างเคียงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เช่น คนญี่ปุ่นจะกลัวว่าฉีดแล้วอาจเป็นภูมิแพ้รุนแรงเฉียบพลันแบบบางคนที่เห็นในข่าว (ซึ่งที่จริงอาการนี้สามารถเกิดจากการแพ้ยา อาหาร และแมลงสัตว์กัดต่อยได้ด้วย ไม่ใช่จากวัคซีนโควิดเท่านั้น) หรือกลัวว่าอีก 10-20 ปีผลข้างเคียงอาจจะเริ่มส่งผลแบบที่บางคนเจอจากวัคซีนบางตัวในอดีตที่ผ่านมา

นอกจากนี้การพัฒนาวัคซีนโควิดภายในเวลาอันสั้น อีกทั้งวัคซีนที่ใช้ในญี่ปุ่นและอเมริกาส่วนใหญ่เป็นวัคซีน mRNA ซึ่งนำมาใช้กับมนุษย์เป็นครั้งแรก และยังไม่แน่ว่าจะส่งผลต่อร่างกายในระยะยาวอย่างไรบ้าง จึงทำให้คนรู้สึกว่าฉีดวัคซีนเสี่ยงอันตรายกว่าเสี่ยงรับเชื้อโควิดเลยไม่อยากฉีด

ไม่เข้าใจการทำงานของวัคซีน

คนจำนวนหนึ่งเข้าใจผิดว่าเมื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคใดแล้วจะไม่เป็นโรคนั้น เช่น คิดว่าถ้าฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แล้วก็จะไม่เป็นไข้หวัดใหญ่ หรือฉีดวัคซีนโควิดแล้วจะไม่ติดโควิด ทำให้บางคนคิดว่าถ้าฉีดวัคซีนแล้วยังติดโรคได้อีกจะฉีดไปทำไม หรือบางคนก็คิดว่าขนาดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ไม่เคยฉีดก็ยังไม่เคยติดไข้หวัดใหญ่เลย จึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องฉีดป้องกันโควิดก็ได้

แต่ในความเป็นจริงวัคซีนโควิดไม่ได้ป้องกันโควิดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ช่วยผ่อนหนักเป็นเบา จากที่อาจร่อแร่เสี่ยงตายเมื่อติดโควิดก็อาจจะอาการไม่หนักมากนัก อย่างญี่ปุ่นเองก็พบผู้ติดโควิดจำนวนหนึ่งหลังฉีดวัคซีนครบโดสในช่วงเมษายน-มิถุนายนที่ผ่านมา แต่ไม่มีคนที่อาการหนักเลย ส่วนอเมริกาพบผู้ติดเชื้อปะทุในรัฐที่อัตราการฉีดวัคซีนต่ำ คนที่ต้องเข้าห้องฉุกเฉินเกือบหมดคือคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน สิ่งเหล่านี้จึงพอบ่งบอกได้ว่าการฉีดวัคซีนน่าจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้จริง

ข้อมูลลวงโลก

ที่ญี่ปุ่นมีข่าวแพร่สะพัดไปในสื่อสังคมออนไลน์มากมาย อาทิเช่น วัคซีนโควิดจะเปลี่ยนดีเอ็นเอบ้าง ทำให้เป็นหมันบ้าง มีไมโครชิปฝังอยู่บ้าง หรือทำให้ร่างกายมีสภาพเหมือนแม่เหล็กบ้าง เชื่อกันว่าญี่ปุ่นรับข้อมูลเหล่านี้มาจากทางอเมริกาซึ่งมีข่าวลวงลักษณะเดียวกันเป๊ะ และยังมีข้อมูลเท็จอื่น ๆ อีกจำนวนมากทั้งในญี่ปุ่นและอเมริกา

ข้อมูลเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเลือกไม่ฉีดวัคซีนของประชาชน เชื่อว่าตัวเองจะไม่ติดหรือติดก็อาการไม่หนัก คนหนุ่มสาวส่วนหนึ่งเห็นว่าคนวัยเดียวกับตนที่ติดโควิดแล้วอาการหนักมีน้อย จึงชะล่าใจว่าตนเองไม่เป็นไร แค่สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เช็ดแอลกอฮอล์ ก็พอแล้ว 

บางคนก็คิดว่าไม่อยากรับสารเคมีอะไรเข้าร่างกาย อยากใช้วิถีธรรมชาติบำบัด กินอาหารมีประโยชน์ ให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ก็คงไม่ติดโควิดเอง หรือบางคนแม้จะเห็นข่าวว่าผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น แต่ถ้าไม่เห็นคนใกล้ตัวติดโควิดขึ้นมา ก็ไม่ค่อยรู้สึกว่าวันหนึ่งตัวเองอาจติดโควิดได้

อีกอย่างที่สำคัญคือ คนประเมินคำว่า “อาการน้อย” กับ “อาการรุนแรง” ต่ำไป ต่อให้มีอาการน้อย คนที่เคยเป็นแล้วก็บอกว่า
“เป็นสภาพที่ทรมานที่สุดในชีวิต” ส่วนอาการรุนแรงหมายถึง “สภาพที่เสี่ยงต่อความเป็นความตาย”

อาจารย์หมอชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งกล่าวว่าจำเป็นต้องให้คนเข้าใจชัดเจนว่าเราฉีดวัคซีนกันไปเพื่ออะไร และต้องให้คนหนุ่มสาวเห็นข้อดีของการฉีดวัคซีนครอบคลุมในวงกว้าง เช่น มาตรการต่าง ๆ จะผ่อนคลายลง สามารถไปดื่มกินตามร้านอาหารได้ ไปเยี่ยมผู้ป่วยที่โรงพยาบาลได้ ซึ่งรัฐบาลและผู้เชี่ยวชาญเองก็ต้องวางแผนผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ไปตามอัตราการฉีดวัคซีนด้วย

หายนะที่มาพร้อมเสรีภาพในการไม่ฉีดวัคซีนของคนอเมริกัน

การประท้วงเรียกร้องเสรีภาพที่จะไม่ฉีดวัคซีนเกิดขึ้นหลายแห่งในสหรัฐฯ โดยมองว่าการให้ฉีดวัคซีนหรือบังคับสวมหน้ากากอนามัยเป็นการริดรอนเสรีภาพและเป็นเผด็จการ อีกทั้งผู้นำทางการเมืองในรัฐที่ผู้ติดเชื้อสูงเป็นอันดับต้น ๆ ก็ให้การส่งเสริมสิทธิเสรีภาพที่สวนกระแสกับนโยบายด้านสาธารณสุขเช่นนี้

บางรัฐที่ผู้ติดเชื้อสูงอันดับต้น ๆ อย่างฟลอริดา ถึงกับห้ามโรงเรียนบังคับสวมหน้ากากอนามัย และยังขู่จะตัดงบโรงเรียนซึ่งไม่ยอมทำตามอีกด้วย


น่าเศร้าที่คนอเมริกันส่วนหนึ่งที่ปฏิเสธวัคซีนหรือยังลังเลที่จะฉีด บัดนี้กำลังเผชิญกับราคาที่ต้องจ่ายเมื่อตนเองหรือคนในครอบครัวติดโควิดขึ้นมาจากการไม่ฉีดวัคซีน อีกทั้งการระบาดก็ทวีขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ จนศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อของสหรัฐ​ ฯ ถึงกับขนานนามการระบาดครั้งล่าสุดว่าเป็น “การระบาดของกลุ่มที่ไม่ฉีดวัคซีน” เลยทีเดียว

ผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการติดโควิดให้สัมภาษณ์สื่อว่า เธอมัวแต่เชื่อข่าวลือว่ารัฐบาลจะเอาอะไรก็ไม่รู้มาฝังในร่างกายประชาชน หรือไม่ก็คิดว่าวัคซีนนี้ยังมีการศึกษาไม่มากพอ เลยไม่ยอมไปฉีดวัคซีน พอเธอติดโควิดและทรมานจากการที่ร่างกายเหลือออกซิเจนเพียง 60 กว่าเปอร์เซ็นต์ ก็ได้คิดว่าตัวเองโง่ที่ไม่ยอมฉีด เพราะถ้าฉีดแล้วเธอก็คงไม่ต้องทรมานอย่างนั้น แล้วครอบครัวก็ไม่ต้องทุกข์ไปกับเธอด้วย แม้ตอนนี้จะรอดตาย แต่เธอยังคงต้องใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ที่บ้าน จะเดินไปไหนมาไหนหรืออาบน้ำต้องให้ลูกคอยช่วยเหลือ เธอคนนี้ตั้งใจจะไปฉีดวัคซีน และจะให้ทุกคนในบ้านฉีดด้วย


บางคนไม่ถึงขนาดคิดว่าจะไม่ฉีดวัคซีน เพียงแต่ยังหาเวลาไปฉีดไม่ได้ หรือกลัวว่าถ้าฉีดแล้วไข้ขึ้นหรือปวดแขนขึ้นมาก็ทำให้ต้องลางาน หรือบางคนก็รอดูสถานการณ์ก่อนว่าคนอื่นไปฉีดแล้วปลอดภัยไหม ปรากฏว่าติดโควิดเสียก่อน คุณหมอซึ่งอยู่ในรัฐที่มีผู้ติดโควิดอันดับต้น ๆ ของอเมริกาบอกว่า ได้ยินมาเยอะแล้วที่พอคนไข้มาถึงมือหมอ ก็บ่นเสียใจที่ตัวเองไม่ยอมฉีดวัคซีนแต่เนิ่น ๆ

ในขณะเดียวกันก็มีคนที่ป่วยมาโรงพยาบาล พอหมอแจ้งว่าติดโควิดก็หาว่าหมอโกหก และบางคนแม้จะอาการหนักอยู่โรงพยาบาลก็ยังบอกว่าจะไม่ฉีดวัคซีนอยู่ดี เพราะไม่รู้ว่าวัคซีนปลอดภัยจริงไหม จะเปลี่ยนดีเอ็นเอหรือทำให้เป็นหมันจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ บ้างก็ไม่เชื่อในประสิทธิภาพของวัคซีนว่าจะป้องกันโควิดได้

คุณหมอท่านหนึ่งพูดว่า “ผมหงุดหงิดที่เรามาถึงจุดที่เราให้ค่ากับข่าวลือผิด ๆ ทัดเทียมกับวิทยาศาสตร์การแพทย์ มันไม่เท่ากันสักหน่อย...และเราก็แพ้ในการสู้รบกับข้อมูลเท็จพวกนี้” ในขณะที่พยาบาลคนหนึ่งบอกว่า “คนเชื่อข้อมูลที่ส่งต่อกันทางโซเชียลง่ายมาก ทั้ง ๆ ที่คนให้ข้อมูลเป็นใครก็ไม่รู้ ไม่ได้มีความรู้ทางการแพทย์อะไรเลย” หมออีกคนกล่าวว่า “ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่หมอพบว่าวัคซีนเป็นสิ่งที่ใคร ๆ พากันเยาะเย้ยเหยียดหยาม”


ทุกวันนี้การไม่ฉีดวัคซีนของคนกลุ่มหนึ่งกำลังสร้างหายนะให้คนอเมริกันทั้งประเทศ ยิ่งในรัฐที่อัตราคนฉีดวัคซีนน้อย หมอและพยาบาลก็ยิ่งต้องรับมือกับผู้ป่วยโควิดล้นจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำงานแทบไม่ได้หยุด ทั้งเครียด ทั้งสงสารคนป่วยและครอบครัว ส่วนผู้ป่วยโรคอื่น ๆ ก็ไม่สามารถรับการรักษาหรือผ่าตัดที่โรงพยาบาลได้เพราะเตียงล้นไปด้วยผู้ป่วยโควิด อีกทั้งหมอพยาบาลก็ไม่เพียงพอ สาธารณชนพากันตั้งคำถามว่าในเมื่อบางคนเลือกจะไม่ฉีด ไม่เชื่อวิทยาศาสตร์การแพทย์ พอติดโควิดขึ้นมาทำไมจึงมาพึ่งการแพทย์ที่พวกเขาดูถูก ทำให้คนมากมายต้องเดือดร้อนเช่นนี้

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบาดของสหรัฐ ฯ ทำการสำรวจครั้งใหญ่เมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่าการระบาดของโควิดทำให้บุคลากรทางการแพทย์เกินครึ่งหนึ่งมีํปัญหาสุขภาพจิตรุนแรง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานนานหลายชั่วโมงและไม่สามารถหาเวลาพักผ่อนได้ อาการเหล่านี้ได้แก่ ความเครียด ความกังวล ความคิดฆ่าตัวตาย และโรคเครียดหลังเหตุการณ์ร้ายแรง

เมื่อต้นสัปดาห์ที่อเมริกาได้เผยแพร่คลิปวีดีโอสั้นชื่อ “Dying in the Name of Vaccine Freedom” (ตายในนามของเสรีภาพเรื่องวัคซีน) โดยสัมภาษณ์คนในเมืองที่มีอัตราฉีดวัคซีนต่ำมาก รวมถึงคนที่อยู่บนเตียงโรงพยาบาลเพราะติดโควิดโดยไม่ได้ฉีดวัคซีนด้วย ฉันรู้สึกโดนใจที่เขาบอกว่า “เสรีภาพของคนคนหนึ่งอาจนำมาซึ่งความตายของอีกคนหนึ่ง” อยากให้ลองดูกันค่ะ เป็นสารคดีสั้น ๆ ที่สื่อสารได้ดียิ่งว่าเสรีภาพเรื่องวัคซีนนำมาซึ่งอะไรบ้าง และทางออกจะอยู่ที่ใด