นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผย ว่า เดือนก.ค. 2564 มีการ
จดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่จำนวน 5,661 ราย ลดลง 0.11% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ก่อน และลดลง 7% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมิ.ย. 2564 ที่มีจำนวน 6,093 รายหรือ ลดลง 7% โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 13,543.18 ล้านบาท โดยประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจขนส่งและขนถ่ายสินค้ารวมถึง คนโดยสาร
ส่วนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ มีจำนวน 1,140 ราย เทียบกับมิ.ย.2564 เพิ่ม 9% และเทียบกับก.ค.2563 ลดลง 10% มีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 4,152.42 ล้านบาท โดยประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร
นายทศพล กล่าวว่า สำหรับยอดรวมธุรกิจตั้งใหม่ในช่วง 7 เดือนของปี 2564 (ม.ค.-ก.ค.) มีจำนวน 46,683 ราย เพิ่มขึ้น 20% ทุนจดทะเบียน 146,751.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% ส่วนธุรกิจเลิกกิจการ 6,070 ราย ลดลง 19% ทุนจดทะเบียน 34,611.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2%
สาเหตุที่ทำให้การจดทะเบียนตั้งบริษัทใหม่ และจดทะเบียนเลิกธุรกิจเพิ่มขึ้นนั้น มาจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด – 19 ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ส่งผลให้รัฐบาลต้องมีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดในการจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจด้านต่างๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น การหยุดการก่อสร้าง การงดรับประทานอาหารในร้านอาหาร และมาตรการล็อคดาวน์ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โดยมีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ 31 ส.ค. 2564
โดยในส่วนของการการลดลงของจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในเดือนก.ค.นั้น พบว่า การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในแต่ละภาคธุรกิจนั้น ส่วนใหญ่มีแนวโน้ม ลดลง โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่มีจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างทั่วไป ลดลง 56 ราย คิดเป็น 9% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ลดลง 61 ราย คิดเป็น 20% และธุรกิจขนส่งและขนถ่ายสินค้ารวมถึงคนโดยสาร ลดลง 9 ราย คิดเป็น 4% ซึ่งแนวโน้มที่ลดลงดังกล่าว เป็นไปในทิศทางเดียวกับดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย ในเดือนกรกฎาคม 2564 ซึ่งอยู่ที่ 41.4 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าถึง 10% ทั้งนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด - 19 ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อ ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบธุรกิจที่มีการชะลอตัวเพื่อติดตามสถานการณ์อยู่ในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศที่เริ่มลดลง และจำนวนผู้ได้รับวัคซีนในประเทศที่เพียงพอจะเป็นปัจจัยที่สร้างความเชื่อมั่นที่ดีในช่วงครึ่งปีหลัง รวมทั้งการฟื้นตัวของการส่งออก และมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่อยู่ระหว่างการพิจารณา จะเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง