อเมริกาปักหมุดฉีด ‘วัคซีนกระตุ้น’ ปลายเดือนหน้า WHO ขวาง

อเมริกาปักหมุดฉีด ‘วัคซีนกระตุ้น’ ปลายเดือนหน้า WHO ขวาง

  • 0 ตอบ
  • 79 อ่าน

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

hs8jai

  • *****
  • 2219
    • บุคคลทั่วไป
    • ดูรายละเอียด
  • ชื่อ-นามสกุล: -
  • เบอร์ติดต่อ/โทรศัพท์มือถือ: -
  • ที่อยู่/สถานที่ติดต่อ: -
  • ระบุจังหวัด: -
  • ดูรายละเอียด
  • ข้อความส่วนตัว (ออฟไลน์)

     
   
 




อเมริกาพร้อมฉีดวัคซีนกระตุ้นให้ประชาชนทั่วประเทศตั้งแต่ปลายเดือนหน้า ย้ำเมื่อเวลาผ่านไปประสิทธิภาพวัคซีนจะลดลง ไบเดน ยังขู่ฟ้องพวกผู้ว่าการรัฐรีพับลิกันที่ขัดขวางคำสั่งให้สวมหน้ากากป้องกันในโรงเรียน อย่างไรก็ตาม ด้านองค์การอนามัยโลกประณามประเทศรวยที่เร่งฉีดวัคซีนกระตุ้นทั้งที่ชาติยากจนยังขาดแคลนหนัก พร้อมชี้ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนว่าจำเป็น

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันพุธ (18 ส.ค.) ว่า ขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่จะลดการ์ดป้องกัน พร้อมเรียกร้องชาวอเมริกันอายุ 18 ปีขึ้นไปทุกคนเตรียมรับวัคซีนเข็มกระตุ้นหลังฉีดครบโดสไปแล้ว 8 เดือน เพื่อเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันโควิด-19 รวมทั้งตัวกลายพันธุ์ใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งช่วยให้วิกฤตไวรัสจบเร็วขึ้น

ตามแผนการซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอการอนุมัติขั้นสุดท้ายจากสำนักงานอาหารและยา (เอฟดีเอ) นั้น รัฐบาลจะพร้อมฉีดวัคซีนกระตุ้นได้ตั้งแต่วันที่ 20 เดือนหน้า ทั้งนี้ วัคซีนที่ได้รับอนุมัติฉุกเฉินให้ใช้ในสหรัฐฯ คือ ของไฟเซอร์ และของโมเดอร์นา ซึ่งต้องฉีด 2 โดส เข็มกระตุ้นจึงหมายถึงเข็มที่ 3 ส่วนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน เป็นแบบฉีดเข็มเดียวจบ วัคซีนกระตุ้นก็หมายถึงเข็มที่ 2

ไบเดนยังกำหนดให้สถานพักฟื้นคนชราในทั่วประเทศต้องบังคับเจ้าหน้าที่ทุกคนฉีดวัคซีนให้ครบ จึงจะได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสำหรับโปรแกรมโครงข่ายการคุ้มครองทางสังคม เช่น เมดิแคร์

วันเดียวกันนั้น บรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านสาธารณสุขของสหรัฐฯ ได้ออกมาอธิบายเกี่ยวกับระดับภูมิคุ้มกันที่ลดลงหลังฉีดวัคซีน ขณะที่ความรุนแรงในการระบาดของสายพันธุ์เดลตา ตอกย้ำความจำเป็นในการฉีดวัคซีนกระตุ้นให้ชาวอเมริกันส่วนใหญ่

นพ.วิเวก เมอร์ธี เจ้ากรมการแพทย์สหรัฐฯ แสดงความกังวลว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนซึ่งเวลานี้มองเห็นอยู่แล้วว่ามีการลดลงตามเวลาที่ผ่านไป ยังอาจจะลดลงต่อไปอีกในอนาคต นี่ย่อมหมายถึงความสามารถของวัคซีนในการป้องกันไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยอาการรุนแรง การต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และการเสียชีวิตจากโควิด ก็กำลังลดลงด้วย

ถึงแม้เมอร์ธีและสมาชิกคนอื่นๆ ในทีมรับมือโควิดของทำเนียบขาว ยืนยันว่า วัคซีนโดยรวมยังถือว่ามีประสิทธิภาพ แต่พวกเขาก็ระบุว่าวิธีที่ดีที่สุดในการยกระดับการป้องกันคือการฉีดโดสกระตุ้น

ด้าน นพ.แอนโทนี ฟาวซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อชั้นนำของอเมริกา อ้างอิงรายงานการศึกษาหลายฉบับ เช่น รายงานของมาโย คลินิกที่พบว่า เมื่อต้องสู้กับสายพันธุ์เดลตา ประสิทธิภาพของวัคซีนไฟเซอร์ก็ลดลงจาก 76% เหลือ 42% และของวัคซีนโมเดอร์นาจาก 86% เหลือ 76% แต่หากฉีดเข็มกระตุ้นจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันถึง 10 เท่า

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ไบเดนจะประกาศแผนการฉีดวัคซีนกระตุ้นให้อเมริกันชนนั้น องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกมาประณามประเทศรวยที่จัดหาวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ประชาชน ขณะที่คนอื่นๆ มากมายทั่วโลกยังไม่ได้ฉีดวัคซีนแม้แต่เข็มเดียว

ไมค์ ไรอัน ผู้อำนวยการฝ่ายสถานการณ์ฉุกเฉินของ WHO ระบุว่า การฉีดวัคซีนกระตุ้นเทียบได้กับการแจกชูชีพให้คนที่ใส่อยู่แล้ว และปล่อยให้คนที่ไม่มีชูชีพต้องจมน้ำ

ผู้เชี่ยวชาญหลายคนของ WHO ยืนยันว่า ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์บ่งชี้ว่า การฉีดวัคซีนกระตุ้นมีความจำเป็น และย้ำว่า การช่วยให้ประชาชนในประเทศรายได้ต่ำได้ฉีดวัคซีนสำคัญกว่า

อย่างไรก็ดี ไบเดนแก้ต่างเรื่องนี้ โดยยืนยันว่าอเมริกาสามารถดูแลประชาชนของตัวเองพร้อมทั้งช่วยเหลือโลกไปพร้อมกัน โดยมีแผนบริจาควัคซีนให้ทั่วโลกกว่า 600 ล้านโดส

นอกจากนั้น ผู้นำสหรัฐฯ ยังระบุว่า นักการเมืองบางคนพยายามทำให้มาตรการความปลอดภัยสาธารณะกลายเป็นข้อพิพาททางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง และสำทับว่าได้มอบหมายให้มิเกล คาร์โดนา รัฐมนตรีศึกษาธิการ ใช้มาตรการทางกฎหมายที่เหมาะสมเพื่อจัดการกับพวกผู้ว่าการรัฐที่ขัดขวางและคุกคามไม่ให้เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนหรือนักการศึกษาบังคับการสวมหน้ากากป้องกันในโรงเรียน

แม้ไม่ได้พาดพิงถึงใครโดยตรง แต่เป็นที่คาดเดากันว่า ไบเดนหมายถึงผู้ว่าการรัฐฟลอริดาและเทกซัส ซึ่งเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกันทั้งคู่ และคัดค้านข้อเสนอแนะของหน่วยงานสาธารณสุขให้นักเรียนสวมหน้ากากป้องกันเวลาอยู่ในโรงเรียน ขณะที่โรงเรียนต่างๆ ทยอยเปิดปีการศึกษาใหม่ในช่วงนี้

โดยเฉพาะฟลอริดานั้น คณะกรรมการการศึกษาของรัฐเพิ่งลงมติให้ลงโทษเขตการศึกษา 2 แห่ง ที่ในสัปดาห์นี้ท้าทายคำสั่งของรอน ดีแซนทิส ผู้ว่าการรัฐ ด้วยการบังคับนักเรียนต้องสวมหน้ากากเมื่ออยู่ในโรงเรียน

(ที่มา : รอยเตอร์, เอพี, เอเอฟพี)