โควิด-19 : ธรรมชาติรังสรรค์ หรือมหันตภัยหลุดจากแล็บ?

โควิด-19 : ธรรมชาติรังสรรค์ หรือมหันตภัยหลุดจากแล็บ?

  • 0 ตอบ
  • 86 อ่าน

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

PostDD

  • *****
  • 1581
    • บุคคลทั่วไป
    • ดูรายละเอียด
  • ชื่อ-นามสกุล: -
  • เบอร์ติดต่อ/โทรศัพท์มือถือ: -
  • ที่อยู่/สถานที่ติดต่อ: -
  • ระบุจังหวัด: -
  • ดูรายละเอียด
  • ข้อความส่วนตัว (ออฟไลน์)

     
   
 





โดย นพ.ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ, Certifi cate of cellular and molecular Immunology มีประเด็นฮอตเมื่อเร็วๆนี้ จากการที่ Anthony Fauci แพทย์ใหญ่ผู้มีอิทธิพลสูงของอเมริกา ซึ่งเคยยืนยันว่า โควิดเกิดจากพัฒนาการของไวรัสในค้างคาวตามธรรมชาติและกระโดดข้ามสายพันธุ์มาติดมนุษย์ได้ ไม่ได้เกิดจากการรั่วไหลออกมาจากห้องแล็บ (lab leak theory) แต่ตอนนี้เปลี่ยนความคิดแบบ 180 องศา ออกมาพูดว่าเราควรจะตรวจสอบเรื่องนี้จากจีนอย่างจริงจังจนได้คำตอบที่ชัดเจนมหากาพย์เรื่องนี้เป็นมายังไง?

หลังจากเริ่มมีการระบาดของโควิดเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม 2019 ทางการจีนได้ออกมารายงานว่า เป็นการติดจากตลาดขายสัตว์ป่าในอู่ฮั่น มีการสืบค้นทางพันธุกรรมของไวรัสต่อไปว่ามันเป็นไวรัสจากค้างคาวไปสู่คนโดยผ่านทางตัวลิ่นและคนไปกินสัตว์ป่าพวกนี้ โดยอาจจะติดจากขั้นตอนการปรุงอาหารหรือจากการกินแต่มันบังเอิญไปไหมที่อู่ฮั่นเป็นที่ตั้งของ Wuhan institute of virology ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยทางไวรัสที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในโลกโดยเฉพาะเกี่ยวกับโคโรนาไวรัส นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในด้านนี้ก็คือ


Dr.Shi Zheng–li ในวงการตั้งฉายาว่า Bat lady มีตัวอย่างโคโรนาไวรัสจากค้างคาวมากมายที่เธอเดินทางไปเก็บตามถ้ำแถวตอนใต้ของจีน และทำวิจัยด้านโคโรนาไวรัสมาแทบตลอดชีวิต

Dr.Shi มีผลงานร่วมกับ Dr.Ralph S. Baric ผู้เชี่ยวชาญด้านโคโรนาไวรัสแห่งมหาวิทยาลัย North Carolina โดยค้นคว้าวิจัยความสามารถของไวรัสจากค้างคาวที่จะนำโรคมาสู่คน Dr.Baric ได้ถ่ายทอดความรู้ในการตัดต่อพันธุกรรมของโคโรนาไวรัส ทำให้สามารถไปติดเชื้อในสัตว์สปีชีส์อื่นๆ ให้แก่ Dr.Shi โดยทำการทดลองในหนูตัดต่อพันธุกรรมให้มีการแสดงออกของตัวรับ ACE2 receptor ของมนุษย์

เมื่อ Dr.Shi กลับมายังอู่ฮั่นก็ได้พัฒนางานวิจัยนี้ต่อโดยใช้เซลล์จากมนุษย์แทนหนู (มีหลักฐานของงานวิจัยนี้ที่ NIH เพราะได้ทุนจาก NIAID ผู้ลงนามรับรองคือ Dr.Daszak แห่ง EcoHealth Alliance)

เมื่อ พ.ย.2015 ทีมวิจัยนี้สามารถสร้างไวรัสชนิดใหม่โดยนำโครงสร้างหลักจากไวรัสซาร์ส SARS1 virus แล้วเสียบด้วย spike protein จากไวรัสค้างคาวชนิด SHC014–CoV พบว่าไวรัสตัดต่อพันธุกรรมนี้สามารถที่จะติดเชื้อได้ในเซลล์จากทางเดินหายใจของมนุษย์ สายพันธุ์ไวรัสตัดต่อพันธุกรรมใหม่นี้ชื่อว่า SHC014–CoV/SARS1 เป็นลูกผสม (chimera) ที่เกิดจากพันธุกรรมของไวรัส 2 สายพันธุ์

9 ธ.ค.2019 ก่อนการระบาดของโควิดไวรัส Dr.Daszak ได้ให้สัมภาษณ์ว่าขณะนี้นักวิจัยของสถาบันไวรัสวิทยาในอู่ฮั่นสามารถตัดต่อโปรตีนส่วน spike (S) protein และสร้างไวรัสโคโรนาลูกผสมที่สามารถติดเชื้อในหนูที่ตัดต่อพันธุกรรมของมนุษย์ และกล่าวในบทสัมภาษณ์ว่าใน หนูทดลองเหล่านี้จะป่วยเป็นโรค SARS ที่ไม่สามารถรักษาด้วย monoclonal antibody และไม่สามารถป้องกันด้วยวัคซีน


ผู้สัมภาษณ์ถามไปว่า “อ้าวในเมื่อรักษาไม่ได้ ฉีดวัคซีนป้องกันก็ไม่ได้ แล้วจะทำไงต่อ” (คงชักกลัว) Dr.Daszak ตอบ “ไม่ต้องกังวล ทุกอย่างสามารถควบคุมได้ไม่ยากในห้องแล็บ และงานวิจัยแบบนี้มีคุณค่ามากกว่าเยอะเพื่อจะลงลึกถึง spike protein ที่นำมาใช้สร้างวัคซีนในอนาคต”

ประเด็นหนึ่งที่อาจเป็นตัวต่อที่สำคัญของจิ๊กซอว์ปริศนาที่มาของโควิดไวรัส ก็คือ spike protein ที่มันใช้ในการจับและเข้าเซลล์มนุษย์ spike protein ของไวรัสจะมีอยู่ 2 หน่วยย่อยที่มีหน้าที่ต่างกัน คือ S1 ทำหน้าที่จับกับเป้าหมายของไวรัส คือ ACE2 บนผิวเซลล์ระบบทางเดินหายใจของมนุษย์ และ S2 ทำหน้าที่เชื่อมกับผนังเซลล์และช่วยให้ไวรัสสามารถเข้าเซลล์ได้

ไวรัสจะสามารถเข้าเซลล์ได้ก็ต้องตัดส่วน S1 และ S2 ออกจากกันก่อน ตำแหน่งที่ตัดนี้เรียกว่า furin cleavage site อยู่ตรง S1/S2 junction โดย furin ที่ใช้ตัดนี้เป็น protease enzyme อยู่ที่ผิวเซลล์ของคนเรา มันจะตัด amino acid sequence ที่เป็น proline-arginine-arginine-alanine-arginine (PRRAR) ซึ่ง sequence นี้อยู่บน furin cleavage site ของโควิดไวรัส ซึ่งเป็นตำแหน่งเล็กๆของไวรัสแต่มีบทบาทสูงต่อความสามารถในการติดเชื้อ

ปริศนาคือ มีแค่เจ้าโควิด SARS2 หรือ SARS-CoV-2 นี้เท่านั้นที่มี furin cleavage site (FCS) อยู่ตรง S1/S2 junction แถมยังเป็น loop ที่ยาวทำให้ furin protease มาตัดได้ง่าย ในขณะที่ SARS-related .a-coronavirus ส่วนใหญ่จะตัด S2 subunit ที่ตำแหน่งต่างออกไป

ดังนั้น จึงเกิดคำถามว่า FCS ตรงตำแหน่งนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ (ซึ่งก็เป็นไปได้) หรือว่าจงใจทำให้เกิดขึ้นเพื่อการทดลองที่เรียกว่า gain–of–function experiment ที่ทำให้ไวรัสเก่งขึ้น ขอสรุปคร่าวๆเลยนะครับว่าเมื่อพิจารณาถึงประเด็นจากธรรมชาติแล้วพบว่ามีโอกาสเป็นไปได้น้อยมากทั้งจาก mutation และ recombination (ก็สมาชิกใกล้เคียงของตระกูลนี้ไม่มีใครเป็นแบบนี้เลย) ดังนั้น ก็มาถึงประเด็นที่สองคือผลิตขึ้นในห้องทดลอง (gain-of-function experiment)

gain-of-function experiment คือการทดลองเกี่ยวกับเชื้อโรคที่มีจุดมุ่งหมายในการชักนำให้เกิดการกลายพันธุ์เพื่อเพิ่มความสามารถในการติดเชื้อและการทำให้เกิดโรค รวมถึงการขยายศักยภาพของเชื้อให้สามารถติดเชื้อได้ในสปีชีส์อื่น โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อรับมือกับโรคติดเชื้อใหม่ๆ เพื่อพัฒนาวัคซีนและการรักษาโรคติดเชื้อ


Dr.Steven Quay ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ชำนาญสาขานี้ให้สัมภาษณ์ว่า การเพิ่มหรือ insert furincleavage site ให้กับไวรัสทำได้ไม่ยากในห้อง lab โดยมีอย่างน้อย 11 วิธีที่ทำได้และตีพิมพ์ลงในวารสารวิทยาศาสตร์ ซึ่งงานวิจัยของ Dr.Shi Zheng–li (bat lady) ก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ก็เป็นข้อมูลนึงที่มาสนับสนุนแนวคิด man–made นะครับ เพราะคนค้านแย้งว่าก็ยังเป็นไปได้ที่จะมีโอกาสเกิด FCS แบบนี้โดยธรรมชาติ

หลังโควิดระบาด Dr.Daszak ออกแถลงการณ์เมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 2020 โดยปฏิเสธว่าไม่ใช่ไวรัสที่หลุดออกมาจากห้อง lab แน่นอน แต่เป็นไวรัสที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและพัฒนาเป็นโควิด โดยอ้างประสบการณ์และความช่ำชองร่วม 20 ปีในวงการนี้ รวมถึงตัว bat lady เองเมื่อสื่อจีน South China Morning Post ไปสัมภาษณ์ว่ามีคนอ้างว่าสถาบันไวรัสอู่ฮั่นเป็นสาเหตุของการระบาด

เธอกล่าวว่า “I swear with my life, the virus has nothing to do with my lab.” และเมื่อนักข่าวขอความเห็นเกี่ยวกับการระบาด ก็ได้รับคำตอบว่า “My time must be spent on more important matters.”


คำถามที่โลกต้องการคำตอบ คือ Covid-19 มีต้นกำเนิดมาจาก SHC014-CoV/SARS1 ไวรัสลูกผสมที่ผลิตขึ้นในห้องทดลองหรือไม่? และการทดลองเกือบทั้งหมดของ Dr.Shi เกี่ยวกับโคโรนาไวรัสทำในห้อง biosafety level 2 (BSL-2) ซึ่งเสี่ยงเกินไปในการทดลองไวรัสร้ายแรงประเภทนี้และอาจมีเชื้อหลุดออกมาจากแล็บ (ไม่ว่าจะจากอุบัติเหตุ หรือจงใจ)

เรายังต้องติดตามกันต่อไปว่าจะไขปริศนาของเรื่องนี้ได้ไหม จริงอยู่เราอาจจะเลยจุดนั้นมาแล้วเพราะตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น...เหมือนไฟกำลังไหม้บ้านต้องรีบดับไฟก่อนแล้วค่อยไปหาว่าต้นเพลิงมาจากไหน แต่ยังไงก็ตามถ้าเราสามารถรู้ถึงต้นตอของมันได้ก็อาจจะช่วยในการป้องกันหายนะแบบนี้ในอนาคต.

หมอดื้อ https:// www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2131712