'ปาน-ธนพร' ตัดพ้อโดนโควิดทำพิษ บอกอายุขนาดนี้จะไปทำอะไรต่อ?

'ปาน-ธนพร' ตัดพ้อโดนโควิดทำพิษ บอกอายุขนาดนี้จะไปทำอะไรต่อ?

  • 0 ตอบ
  • 83 อ่าน

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Thetaiso

  • *****
  • 2964
    • บุคคลทั่วไป
    • ดูรายละเอียด
  • ชื่อ-นามสกุล: -
  • เบอร์ติดต่อ/โทรศัพท์มือถือ: -
  • ที่อยู่/สถานที่ติดต่อ: -
  • ระบุจังหวัด: -
  • ดูรายละเอียด
  • ข้อความส่วนตัว (ออฟไลน์)

     
   
 





จัดเป็นอีกหนึ่งนักร้องสาวเสียงดีของวงการบันเทิง ปาน ธนพร ที่ล่าสุดเจอสถานการณ์โควิดทำพิษ ทำให้ต้องออกมาโพสต์เฟซบุ๊กตัดพ้อไม่มีงาน อายุเยอะขนาดนี้จะไปทำอะไรต่อโดยสาวปานเล่าเรื่องนี้อย่างละเอียดในรายการคุยแซ่บ Show พร้อมอัพเดทคุณแม่ที่นอนติดเตียงมาร่วม 17 ปี ด้วยอาการเส้นเลือดสมองตีบ หมดค่าใช้จ่ายกว่า 10 ล้านบาท ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง

ปาน เผยว่า “เรื่องโควิดตอนนี้พี่ว่าทุกชีวิตไม่ต่างกัน หนักเบาแล้วแต่ เราเองก็โดนอยู่แล้ว เพราะว่าเราเป็นนักร้องไม่ได้ร้องเพลงมาเป็นปีๆแล้ว ตั้งแต่มีโควิดไม่ได้มีงานร้องเพลงเลย จะมีก็แค่ออกรายการเล็กๆน้อยๆ พออยู่ได้ไป เราก็ยังดีกว่าอีกหลายๆชีวิตที่เขาลำบากมากที่เป็นข่าวเห็นๆกันอยู่ ที่โพสต์ไปถามว่าท้อกับชีวิตไหมก็เปล่า โพสต์ไปอย่างงั้นหาเรื่องสนุกๆไป  จริงๆเรามีความรู้สึกว่าเราเริ่มแก่แล้ว ถ้าเราคิดว่าหนึ่งวันคือชีวิตคน ตอนนี้ด้วยอายุของเรามันเลยตรงกลางมันเลยตรงเที่ยงมาแล้ว ถ้าเที่ยงมันคือชีวิตวัยรุ่น เราคือช่วงชีวิตบ่ายกำลังเข้าเย็น บ่านคล้อยเย็น เราต้องมานั่งคิดแล้วว่าชีวิตต่อจากนี้เราจะทำอะไร เราจะมีเป้าหมายอะไรต่อไปดี เราก็โพสต์เล่นๆเผื่อเพื่อนๆจะเข้ามาตอบสนุกสนาน เผื่อจะแนะนำอะไร”


“ถามว่าประโยคนั้นจะออกจากวงการไหม มันก็ไม่ขนาดนั้นหรอกก็อาจจะเห็นหน้ากันตามรายการเล็กๆน้อยๆ คงไม่ได้เห็นกันเหมือนเมื่อก่อน เราก็มีเป้าหมายของเราที่เปลี่ยนไปก็คือเป้าหมายทางธรรม ซึ่งทุกวันนี้นอกจากเป็นจิตอาสาในกลุ่มบัวลอยที่ช่วยงานทางศาสนาเท่าที่เราทำได้ แต่งานพวกนี้มันเป็นงานที่ไม่ได้สตางค์ มันเป็นงานเรื่องใจ มันก็ต้องมานั่งคิดว่าชีวิตมนุษย์มันอยู่ได้ด้วยเรื่องปัจจัยก็เลยมานั่งคิดว่าเราจะทำอะไรดีแก่ป่านนี้แล้ว”

ปาน เล่าต่อว่า “เรื่องแม่ป่วยท่านก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องนอนอยู่อย่างนั้น นอนมา 17 ปีแล้ว คุณแม่เป็นเส้นเลือดตีบเมื่อปี 45 รักษามาจนเอากลับมาได้ แต่ระหว่างทางมีอยู่ช่วงหนึ่งหลังจากหายเกือบ 100% ไปล้ม พอล้มก็ทำให้สะโพกหักก็ต้องผ่าตัด พอผ่าตัดกลับออกมาก็ต้องกายภาพ คุณแม่ก็เป็นคนชอบกินโน่นกินนี่ยังกินขนมหวานอยู่ไม่ค่อยได้มีวินัยมากก็ทำให้กลับมาตีบครั้งที่ 2 ซึ่งการตีบครั้งนี้เป็นการตีบที่หมอครั้งแรกเตือนไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า กลับไปเที่ยวนี้ซีเรียสนะเพราะถ้าตีบครั้งที่ 2 เอาคืนไม่ได้แล้วนะ แล้วการตีบครั้งที่ 2 มันเป็นการตีบที่ไปมีส่วนในการควบคุมการกลืนกับการพูดแล้วทำให้ซีกขวาจะนิ่ง คุณแม่ก็นอนด้วยอาการแบบนี้ 17 ปีแล้ว 5 ปีแรกแม่พี่ทรมานมาก เพราะว่าคนเคยเที่ยว แม่เราเป็นคุณครูต้องพูดบ่น แล้ววันหนึ่งพูดไม่ได้ก็หงุดหงิดกว่าจะรับตัวเองได้ เคยชอบกินก็กินไม่ได้ อะไรที่เคยชอบกินก็ได้แต่นั่งมองทุกอย่างก็ต้องฟรีซ เขาก็จะหงุดหงิด เป็นช่วง 5 ปีแรกที่ลูกๆทุกคนต่างคนต่างทรมาน แต่วันที่พี่น้อง 5 คนมายืนร้องไห้กันเลยก็คือวันที่รู้ว่าว่าเขาพูดไม่ได้แล้ว อันนั้นหนักที่สุดในชีวิตเลย”

“ค่าใช้จ่ายตลอด 17 ปีที่ผ่านมาหนักมาก ก็น่าจะเกิน 10 ล้าน เพราะว่าโรคพวกนี้จะเป็นแบบระยะยาว จะเป็นไปเรื่อยๆ ช่วง 5 ปีแรกเป็นปีที่ร่างกายมันขึ้นลง แล้วหลายครั้งก็เหมือนกับแม่จะไป เราก็ยื้อกัน ทุกอย่างมันใช้เม็ดเงินตลอด แต่ว่าอย่างหนึ่งปานรู้สึกขอบคุณเจ้ากรรมนายเวรที่มาเอาเรื่องแม่เราตอนเราไหว เขาก็ยังเมตตาที่มาเอาเรื่องแม่เราตอนเรายังมีกำลัง ครอบครัวเราแรกๆเราก็สู้กันมาตลอด อยู่ไปๆเราก็เห็นแม่เราทรมานมากเลย เราก็คิดว่าเขาก็คงไม่อยากอยู่กับร่างที่เสื่อมขนาดนี้ คนเราไม่ใช่อยากจะตายก็ตายได้เราก็ได้แต่บอกแม่เราว่าแม่ใช้กรรมนะ ใช้ให้หมด จะได้ไม่มีอะไรติดค้างกัน ก็ได้แต่ปลอบใจกันแบบนี้ วันนี้เราทำได้แค่นิมนต์พระน้องชายให้ท่านเมตตาไปรับสังฆทานให้แม่ได้มีภาพจำ ให้จิตเขาจำว่าเขาทำบุญอะไรไว้เยอะ เพราะแม่ชอบทำบุญสมัยแข็งแรง เขาทำบุญสวดมนต์ตลอด แต่อย่างว่าคนเราก็มีกรรมเป็นของตัวเอง แม่ถือว่าเป็นครูสอนธรรมะได้ใกล้ตัวที่สุด เราเลยเห็นมันเลยทำให้เราปลงอะไรได้เริ่มจากการเห็นแม่เราก่อน ต่อให้เราพยายามแค่ไหนมันไม่มีอะไรใหญ่กว่ากรรมเลย”


“จริงๆ 17 ปีมันยาวนานมากสำหรับคนๆหนึ่งที่ต้องทรมานบนนี้ จริงๆมีอยู่ช่วงหนึ่งที่คุณแม่กลับมาทานอาหารได้ เราก็ดีใจกันมากว่าแม่กินข้าวได้แล้วนะ แต่ว่าเขาสำลักด้วยความที่เขาไม่ได้กินมานาน อันนี้ก็เป็นอีกแมทช์หนึ่งที่เกือบไป พอสำลักก็ทำให้เศษข้าวเข้าไปในปอดแล้วก็เข้าไอซียู คุณหมอก็สั่งว่าห้ามกินต่อไปนี้ให้กลับไปกินแบบสายยางเหมือนเดิมก็จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ถ้าขอได้ก็อยากให้เขาพูดได้ จริงๆก็คือภูมิใจในตัวเขา เขาคือนักสู้สำหรับพี่นะ แม่เป็นนักสู้สุดๆเลย ไม่ได้แสดงอาการว่าสู้คนแต่ก็ไม่ให้ใครมารังแกได้ เป็นมนุษย์ที่ใช้ชีวิตบนความกล้าหาญ ถึงแม้จะมีทุกข์แม่ก็เผชิญ แม่จะพูดเสมอว่าจำเอาไว้เลยนะวันหนึ่งที่พวกแกไปมีลูก แกต้องเลี้ยงลูกให้เขาอยู่ให้ได้โดยที่ไม่มีแกแล้วอย่าเลี้ยงลูกให้ตัวเองรักคนเดียว ต้องเลี้ยงลูกให้คนอื่นเขารักลูกแก มันถึงจะถูก”


ปาน เล่าอีกว่า “เรื่องความรักของพี่มันเคยมีทุกอย่างแล้ว เราผ่านมาหมดแล้ว ความรักเราก็มีความรักที่ดีที่จบดี ส่วนใหญ่เราก็จะจบดีๆ ไม่ใช่เราไม่รู้จักรัก เรารู้จักมาหมดแล้ว แต่วันนี้การมีคู่ไม่ใช่สิ่งที่เราเลือก แต่เราขอเลือกที่อยากจะเรียนรู้ใจตัวเองมากกว่า มันก็เลยไม่ได้มีเรื่องนี้ให้คนเห็นมากนัก แต่ที่คนบอกเพลงพี่แต่งมามีแต่ผู้ชายไม่มีดีเลย หลายคนเลยสงสัยว่าพี่เจ็บช้ำจากผู้ชายแน่ๆหรือว่าชอบเพศเดียวกัน อันนี้ตอบก่อนว่าพี่ชอบผู้ชายปกติเลย แต่ว่าไม่ใช่ผู้หญิงในสเปคที่ผู้ชายจะวิ่งเข้าหาเหมือนกัน แต่ว่าเพื่อนจะเยอะ คนจะเข้ามาเป็นเพื่อนกับเราเยอะมาก ถ้าคนเข้ามามันต้องรู้ว่าจะไปในทิศทางเดียวกันได้ไหม เราไม่ได้มีเขาเป็นเป้าหมายหลักเรามีอย่างอื่นเป็นเป้าหมายหลัก แต่ถ้าจะเดินไปด้วยกัน มีเป้าหมายเดียวกันในทางธรรม พี่ว่ามันก็ไปด้วยกันได้ แต่ว่า ณ วันนี้มันไม่ใครเดินเข้ามาหาเราแบบนี้ส่วนใหญ่แล้วมีแต่เพื่อนจริงๆ เราอาจจะไม่เหมาะที่จะมีผู้ เพราะว่าตัวเราเองเรายังจัดการชีวิตตัวเองหรือว่าข้างในตัวเองได้ไม่ดีพอที่จะมีอีกคนหนึ่ง เรารู้สึกอย่างนั้น”