การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตชะลอตัวลง ทั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์ ชเครื่องใช้ไฟฟ้า และก่อสร้างบริษัท โลหะกิจ เม็ททอล จำกัด (มหาชน) หรือ LHK
ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมธุรกิจเหล็ก และ ผลิตภัณฑ์โลหะที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมา
ปัจจุบัน LHK มีธุรกิจแบ่งออกเป็น 5 ธุรกิจหลัก ประกอบด้วย 1. จัดหาแปรรูป และจำหน่ายสเตนเลสรีดเย็นชนิดม้วนและแผ่น 2.ผลิตและจำหน่ายท่อสเตนเลส ได้แก่ ท่อสเตนเลสสำหรับงานตกแต่ง ท่อสเตนเลสสำหรับอุต สาหกรรมยานยนต์ 3.แปรรูปและจำหน่ายเหล็กชุบสังกะสีเหล็กเคลือบสังกะสีชนิดม้วนและแผ่น 4.ให้บริการด้านการตัด เจาะ และขัด ผิว สเตนเลส ตามความต้องการของลูกค้าและ 5. จัดจำหน่ายสินค้า ทองแดง ทองเหลืองอลูมิเนียม ชนิดม้วน แผ่น ฉากเพลาและ ท่อ
“วิทวัส อัครพงศ์พิศักดิ์” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท โลหะกิจ เม็ททอลจำกัด (มหาชน) หรือ LHK เล่าให้ฟังว่า คาดว่าในช่วงไตรมาส 2ปี 2564/2565 (ก.ค.-ก.ย.2564) ผลประกอบการจะทรงตัวจากงวดไตรมาส 1 ปี 2564/2565 (เม.ย.-มิ.ย.2564) เนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลให้อุตสาหกรรมการผลิตชะลอตัวลง ทั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมก่อสร้างเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซั่น
ทั้งนี้ บริษัทได้ดำเนินนโยบาย Bubble & Seal ในโรงงานผลิต และได้มีตรวจเชิงรุกเพื่อหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ภายในโรงงาน รวมไปถึงการแบ่งทีมการทำงานในโรงงาน เพื่อลดผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่จะเกิดขึ้นในไลน์การผลิตต่างๆของบริษัท
ดังนั้น คาดว่าผลประกอบการในงวดปี 2564/2565 (เม.ย.64-มี.ค.65) จะเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อนมีรายได้ 2,247.54 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 101.36 ล้านบาท ตามภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกและประเทศไทยที่คาดว่าจะฟื้นตัว หลังจากที่มีการกระจายการฉีดวัคซีนโควิด-19 มากขึ้น หนุนสถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลาย ในส่วนของประเทศไทยจะมีปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆที่จะออกมา การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง หนุนความเชื่อมั่นการลงทุน และการบริโภคให้กลับมามากขึ้นด้วย ส่งผลให้อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมก่อสร้าง กลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินกิจการของบริษัทยังคงเน้นหาลูกค้ารายใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าจากประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งบริษัทยังคงดำเนินนโยบายการบริหารจัดการด้านต้นทุนที่ดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้ไม่ต่ำกว่า 10% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของบริษัทที่วางไว้ด้วย
“ในปีนี้บริษัทจะเน้นการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้น และเน้นการบริหารลูกค้าที่มีฐานการเงินเข้มแข็งที่จะทำให้บริษัทไม่มีผลกระทบจากหนี้เสียขึ้น และลดสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าในรูปแบบขายส่งลงเหลือต่ำกว่า 10% จากเดิมที่มีสัดส่วนการขายส่งอยู่ที่ 17-20% ซึ่งจะหนุนให้ทิศทางการทำกำไรของบริษัทปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย”
สำหรับปีนี้บริษัทยังไม่ได้มีการลงทุนขนาดใหญ่ๆขึ้น เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ไม่แน่นอน ดังนั้น จึงเน้นการรักษาเงินทุนหมุนเวียนให้อยู่ในระดับสูง แต่อย่างไรก็ตามบริษัทยังมีแหล่งเงินทุนเพียงพอหากจำเป็นต้องมีการลงทุนใหม่ๆเพิ่มเติม ขณะที่ผลประกอบการเราจะไม่ได้เน้นรายได้ แต่เราจะไปเน้นส่วนของกำไรสุทธิมากกว่า และเพื่อลดความเสี่ยงของหนี้เสียที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยการลดสัดส่วนการขายส่งลง
ท้ายสุด “วิทวัส” ทิ้งท้ายไว้ว่า มองว่าภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกและประเทศไทยคาดว่าจะฟื้นตัว หลังจากที่มีการกระจายการฉีดวัคซีนโควิด-19 มากขึ้น หนุนสถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลาย ในส่วนของประเทศไทยจะมีปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆที่จะออกมา และการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง