“สุวัจน์” เผยรับแอสตร้าฯ เข็ม 2 พร้อมแนะรัฐควรทำราคาชุดตรวจ ATK

“สุวัจน์” เผยรับแอสตร้าฯ เข็ม 2 พร้อมแนะรัฐควรทำราคาชุดตรวจ ATK

  • 0 ตอบ
  • 69 อ่าน

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Beer625

  • *****
  • 3030
    • บุคคลทั่วไป
    • ดูรายละเอียด
  • ชื่อ-นามสกุล: -
  • เบอร์ติดต่อ/โทรศัพท์มือถือ: -
  • ที่อยู่/สถานที่ติดต่อ: -
  • ระบุจังหวัด: -
  • ดูรายละเอียด
  • ข้อความส่วนตัว (ออฟไลน์)

     
   
 




วันนี้ (1 ก.ย.) เพจ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ - Suwat Liptapanlop” ของ นายสุวัจน์ ลิปตพัลล นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลของ ทักษิณ ชินวัตร ได้โพสต์หลังจากเข้ารับวัคซีนเข็ม 2 โดยระบุข้อความว่า “เมื่อวันที่ 30 สิงหาคมนี้ ผมได้ไปฉีดวัคซีนเข็มที่สองของ AstraZeneca ที่โรงพยาบาลมหาราชที่โคราช ด้วยความเรียบร้อยดีครับ มีประชาชนไปเข้าคิวฉีดยากันจำนวนมาก ขณะนี้ประเทศไทยของเราได้มีการฉีดวัคซีนไปแล้วทั้งสิ้นประมาณมากกว่า 30 ล้านโดส จากเป้าหมายที่จะฉีดให้ได้ประมาณกว่า 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปี 2564 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในการป้องกัน โควิด-19

ขณะนี้โลกฉีดวัคซีนรวมกันแล้วประมาณมากกว่า 5,000 ล้านโดส สถานการณ์โควิด-19 ก็จะค่อยๆ กระเตื้องขึ้น เรื่องการจัดหาวัคซีนก็ต้องพยายามเร่งรัดให้ได้วัคซีนให้รวดเร็วที่สุด ในปริมาณที่เพียงพอและกระจายฉีดให้ทั่วถึง เพื่อลดการระบาดของโควิด-19 เพราะวัคซีนคือคำตอบของการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ขณะเดียวกัน ก็ต้องเร่งจัดหาและแจกจ่ายชุดตรวจด้วยตนเอง หรือ ATK ให้ประชาชนใช้ตรวจดูแลตนเอง เพื่อช่วยป้องกันการระบาดตั้งแต่เริ่มต้น ถ้าตรวจเจอจะได้กักตัวไม่แพร่กระจายสู่ผู้อื่น ถ้าทำให้ชุดตรวจ ATK ราคาถูกลงมากๆ ประชาชนก็จะสามารถจัดหาได้ด้วยตนเองอีกทางหนึ่ง และไม่เป็นภาระค่าใช้จ่ายที่สูง

โดยเฉพาะในช่วงที่พวกเราต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตด้านเศรษฐกิจ ที่ผู้ประกอบการและร้านค้า กำลังประสบปัญหากันอยู่ ก็คงต้องทำกันทุกช่องทางนะครับ รวมถึงการดูแลตนเองที่เรียกกันว่า Universal Prevention คือ การเว้นระยะห่าง สวมหน้ากาก ล้างมือ และตรวจวัดอุณหภูมิก็จะปลอดภัยมากขึ้น เราคงจะต้องแก้ไขปัญหาควบคู่กันไปแบบคู่ขนาน คือ ดูแลด้านสาธารณสุขให้ทุกท่านปลอดภัยหรือเจ็บป่วยน้อยที่สุด แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องรีบปลดล็อกหรือคลายล็อก ให้ทุกท่านกลับมาใช้ชีวิตปกติ ทำธุรกิจการค้าไปได้ด้วยกัน เพียงแต่มีมาตรการด้านสาธารณสุขควบคู่ไปด้วย เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถบริหารจัดการได้ ให้มีผู้เสียชีวิตน้อยที่สุดและมีผู้ป่วยน้อยที่สุดด้วย ตามกำลังของระบบสาธารณสุขที่สามารถรองรับได้

ซึ่งมาตรการคู่ขนานในการแก้ไขวิกฤตโควิด-19 ในลักษณะอยู่ด้วยกันได้ทั้งด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจ หลายประเทศก็ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เพราะเราเผชิญสถานการณ์การแพร่ระบาดเป็นเวลายาวนานมากว่า 1 ปีแล้ว ไม่เช่นนั้น เศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคนก็จะได้รับผลกระทบมากเกินกว่าที่จะรับไหว มีการคาดการณ์ว่า ปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกจะเริ่มคลี่คลาย รวมทั้งของประเทศไทยด้วย แต่เศรษฐกิจที่หยุดชะงักในช่วงปี 2563 ถึงปลายปีนี้ มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก เราอาจต้องใช้เวลา 2-3 ปี ในการฟื้นตัวด้านเศรษฐกิจให้กลับมาเหมือนก่อนเกิดโควิด-19 และหลังจาก 2-3 ปี ข้างหน้าก็คงจะกลับมาเริ่มต้นเติบโตกันใหม่ คงจะต้องมีการปรับตัว ปรับรูปแบบการทำธุรกิจ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงหลังโควิด-19

เราก็คงจะต้องพิจารณาเรื่องงบประมาณต่างๆ เพิ่มเติมในการที่จะเข้ามาใช้ในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบและฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วง 2-3 ปีข้างหน้านี้ อย่างเหมาะสม อาจจะเป็นภาระหนี้สินสาธารณะที่เป็นของประเทศ แต่ก็เป็นความจำเป็นที่ทุกประเทศทั่วโลกดำเนินการกันอยู่ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศให้กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม ธนาคารแห่งประเทศไทยและภาคเอกชนได้ให้ความเห็นว่าอาจจะต้องกู้เงินเพิ่มอีกเป็นจำนวน ประมาณ 1 ล้านล้านบาท ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในครั้งนี้

นอกจากผมได้ไปฉีดวัคซีนเข็มที่สองที่โคราชในครั้งนี้ ผมได้ไปมอบถุงกู้ภัยโควิดของศูนย์ฅนโคราชรักจริงไม่ทิ้งกันจำนวน 10,000 ถุง ในแต่ละถุงซึ่งประกอบไปด้วย ปลากระป๋อง บะหมี่สำเร็จรูป ไข่ไก่ หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ล้างมือ และยาฟ้าทะลายโจร 45 แคปซูล โดยได้แจกจ่ายถุงกู้ภัยโควิด 10,000 ถุง ไปยังพี่น้องประชาชนที่ประสบปัญหา ซึ่งศูนย์ฅนโคราชรักจริงไม่ทิ้งกัน ได้ดำเนินการทุกอย่างต่อเนื่องมาตลอดที่เกิดการระบาดของโควิด-19 (คนโคราชรักจริง ไม่ทิ้งกัน) ขอให้ทุกท่านปลอดภัยนะครับ ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านนะครับ ขอให้ดูแลตนเองให้ดีที่สุด ให้ได้วัคซีนครบ 2 เข็ม โดยเร็ว เราจะได้ฝ่าฟันผ่านพ้นภัยโควิด-19 ไปด้วยกันครับ ขอบคุณครับ”