นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า นโยบายภาครัฐที่
เดินหน้าเปิดประเทศรับการท่องเที่ยว 1 พ.ย.นี้ นำร่องนักท่องเที่ยวฉีดวัคซีนครบโดสจาก 10 ประเทศเข้าไทยได้ไม่ต้องกักตัวนั้น ส.อ.ท.สนับสนุนนโยบายดังกล่าวเพราะเป็นความจำเป็นเนื่องจากเศรษฐกิจโลกเริ่มมีการฟื้นตัวและระดับราคาน้ำมันได้เริ่มสูงขึ้นหากไทยไม่ดำเนินการเปิดประเทศไทยจะได้รับผลกระทบในแง่ต้นทุนที่สูงขึ้นแต่กลับไม่มีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งภาคการท่องเที่ยวถือเป็นกลไกสำคัญที่จะมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตามต้องการให้รัฐสื่อสารถึงแนวทางปฏิบัติให้ชัดเจนถึงการเปิดประเทศเพื่อป้องกันความสับสน
โดยการเปิดประเทศมีความจำเป็นเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปลายปีนี้และในปี 2565 ซึ่งหลายประเทศเริ่มเปิดรับการท่องเที่ยวต่างชาติแล้วและจะมีมากขึ้นเราคงไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ แต่อยากให้บทบาทรัฐในสื่อสารให้ชัดเจนว่า 1 พ.ย.นี้จะเปิดแบบไหน พื้นที่สีแดงเปิดอย่างไร อุตสาหกรรมไหน อาชีพใดที่ต้องจะเปิด เปิดจำหน่ายแอลกอฮอล์มากน้อยแค่ไหน รับคนฉีดวัคซีนหรือไม่ ฯลฯ เมื่อชัดเจนแต่ละจังหวัดจะได้ปฏิบัติเพื่อไม่ให้สับสน เวลานี้การสื่อสารรัฐและเอกชนมีปัญหาตลอดเวลาเวลานี้จะไปภูเก็ตก็อีกแบบ ไปเชียงใหม่ก็ปฏิบัตอีกแบบนึง สับสนการเดินทางและผู้ประกอบการ
ท้งนี้หลายส่วนอาจมองไทยไม่พร้อมในแง่ของการเปิดประเทศท่ามกลางอัตราการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ใหม่ที่ยังอยู่ระดับหมื่นกว่าคนนั้นเห็นว่า ไม่ควรจะไปโฟกัสในเรื่องการติดเชื้อเพราะเชื่อว่าเชื้อโควิด-19จะอยู่ไปอีกนาน แต่ควรมองที่ตัวเลขของผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 หรือป่วยรุนแรงอย่างน่าใจหายมากกว่า ซึ่งขณะนี้ทิศทางผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 หายกลับมาทำงานปกติมีจำนวนมากขึ้นต่อเนื่องจากการที่รัฐได้เร่งฉีดวัคซีนป้องกันที่มากขึ้น ขณะเดียวกันเริ่มมีเทคโนโลยีในการรักษาใหม่ๆประกอบด้วยทั้งวัคซีนและยา จึงเชื่อมั่นว่าหากโควิด-19 ไม่ได้กลายพันธุ์อย่างรุนแรงประเทศต่างๆจะทยอยเปิดประเทศมากขึ้นและจะเห็นว่าเวลานี้ก็เริ่มแล้วหลายประเทศ
ทั้งนี้การเปิดประเทศในแง่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปีนี้ที่เหลือเวลาแค่ 2 เดือนก็อย่างน้อยคงไม่ทำให้ติดลบเป็นไปตามกรอบที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบันวางไว้คือโต 0-1% แต่สิ่งที่เรามองคือปี 2565 จะทำให้ไทยมีเศรษฐกิจที่เติบโตได้มากขึ้น