'กกร.' เตรียมทำหนังสือถึงรัฐบาล เร่งเจรจา CPTPP ชี้ล่าช้าไทย

'กกร.' เตรียมทำหนังสือถึงรัฐบาล เร่งเจรจา CPTPP ชี้ล่าช้าไทย

  • 0 ตอบ
  • 79 อ่าน

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

deam205

  • *****
  • 2773
    • บุคคลทั่วไป
    • ดูรายละเอียด
  • ชื่อ-นามสกุล: -
  • เบอร์ติดต่อ/โทรศัพท์มือถือ: -
  • ที่อยู่/สถานที่ติดต่อ: -
  • ระบุจังหวัด: -
  • ดูรายละเอียด
  • ข้อความส่วนตัว (ออฟไลน์)

     
   
 


นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยละสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยภายหลังการประชุม กกร.ว่า กกร.ได้มีประเด็นข้อเสนอแนะถึงความคืบหน้า CPTPP ของประเทศไทยว่า กกร.ขอให้รัฐบาลเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการเข้าร่วมการเจรจา CPTPP โดยทาง กกร.จะทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อนำเสนอผลการศึกษาของภาคเอกชน และเร่งรัดการพิจารณา เนื่องจากปัจจุบันทางจีน สหราชอาณาจักร และไต้หวัน ได้มีเจตจำนงเข้าร่วมเจรจากับ CPTPP อย่างชัดเจนแล้ว และหากไทยยังล่าช้าไปกว่านี้ อาจทำให้ต้องเจรจาตามเงื่อนไขของประเทศทั้ง 3 เพิ่มเติม จากเดิมที่จะต้องเจรจากับ 11 ประเทศที่เป็นสมาชิก CPTPP ในปัจจุบัน และทำให้ไทยเสียโอกาสในการแข่งขันทางการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ กกร.ได้เคยทำหนังสือถึงประธานคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ถึงจุดยืนของภาคเอกชนและผลการศึกษาของภาคเอกชน เพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณาของภาครัฐไปแล้ว


ทั้งนี้ กกร.จะขอให้กระทรวงการต่างประเทศ โดยคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศจัดประชุมเสวนาเพื่อทำความเข้าใจร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม โดยเร็ว รวมถึงนำเสนอผลการศึกษาของภาคเอกชน เพื่อสร้างความเข้าใจในภาพรวมของการเข้าร่วมเจรจา CPTPP ของไทย ต่อไป

ส่วนแนวทางการแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 (PDPA) กกร.ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ควรเสนอแนวทางให้รัฐบาลดำเนินการแต่งตั้งให้มีตัวแทนภาคเอกชน (กกร.) ร่วมในกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และคณะกรรมการชุดย่อยอื่นๆ รวมถึงพิจารณาเลื่อนการบังคับใช้มาตราที่เกี่ยวกับบทลงโทษ (หมวดที่ 6 และหมวดที่ 7) ออกไปเป็นเวลาอีก 3 ปี และพิจารณาแก้ไขกฎหมายเพื่อให้เหมาะสมและไม่อุปสรรค

ขณะเดียวกันได้ผลักดันและสนับสนุนการผลิตและบริโภคสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยภาคเอกชนจะขอให้กรมบัญชีกลางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ออกระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้เป็นภาคบังคับ และผลักดันให้บัญชีสินค้าที่ได้รับการรับรองฉลากอีโค่พลัส อยู่ในบัญชีรายชื่อสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของกรมควบคุมมลพิษ เป็นพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน พร้อมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการผลิตและจัดซื้อจัดจ้างสินค้าที่ได้รับการรับรองอีโค่พลัส และสนับสนุนให้ภาคเอกชนที่ผลิตและจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้รับการลดหย่อนภาษี 2 เท่า