บล. โกลเบล็ก (GBS) ประเมิน
หุ้นไทยยัง Sideway Up รับข่าวดีจีนพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาได้ บวกแรงเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มธนาคาร- สื่อสาร-พลังงาน หนุนดัชนีแกว่งตัวในกรอบ 1,600-1,660 จุด แนะกลยุทธ์ช้อป 5 หุ้นรับอานิสงค์ศบค. พิจารณาผ่อนคลายเปิดโรงภาพยนตร์-ลดเวลาเคอร์ฟิว-ขยายเวลาเปิดร้านอาหาร
วันที่ 28 กันยายน 2564 นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยว่า Sideway Up จากสถานการณ์โควิด-19 ที่มีการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ออกมาเพิ่มขึ้น ล่าสุดบริษัทซื่อชวน โคลเวอร์ (Sichuan Clover) ผู้พัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 สัญชาติจีนเปิดเผยผลการทดลองวัคซีนระบุว่า วัคซีนของบริษัทมีประสิทธิภาพ 79% ป้องกันการติดเชื้อแบบแสดงอาการรุนแรงทุกระดับที่เกิดจากไวรัสสายพันธุ์เดลตา
รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ยังคงมีต่อเนื่อง โดยคาดว่าวันพฤหัสบดีนี้สภาผู้แทนราษฎรฯ จะลงมติเพื่อผ่านร่างกฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ และการทำ Window Dressing ก่อนปิดงบไตรมาส 3/2564 อีกทั้งยังมีแรงหนุนจากการเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มธนาคาร หุ้นกลุ่มสื่อสาร และการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน จึงให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนี 1,600-1,660 จุด
นอกจากนี้ยังคงต้องจับตาปัจจัยต่างๆ อาทิ สถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัด การรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยในงาน BOT Symposium 2021 ของธนาคารแห่งประเทศไทย ด้านอียูรายงานความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ-ความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือนก.ย. สหรัฐ เปิดเผยยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนส.ค. สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ จีนรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต-ภาคบริการ เดือนก.ย. และดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนก.ย. และการประชุมกำหนดนโยบายการผลิตน้ำมันของโอเปกพลัส
ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการประกาศของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ในการผ่อนคลายเปิดโรงภาพยนตร์ อีกทั้งลดเวลาเคอร์ฟิว เป็นช่วงเวลา 22.00-04.00 น. และเปิดห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ตลาด และสนามกีฬากลางแจ้ง หรือในร่มที่อากาศถ่ายเทสะดวกได้ถึง 21.00 น. ได้แก่หุ้น MAJOR, AU, ZEN, M และ CPALL
ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก กล่าวว่า ราคาทองคำโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้น 10 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่ 1,763 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยราคาทองคำปรับตัวลงก่อนในช่วงต้นสัปดาห์เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์และการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.33% โดยการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะเพิ่มต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย
นอกจากนี้ประธานเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0% และหากเศรษฐกิจมีความคืบหน้าตามที่คาดการณ์ไว้ได้เตรียมปรับลดวงเงิน QE ในไม่ช้าส่งผลให้ทองคำลดช่วงบวกลง เนื่องจากการปรับลด QE จะทำให้อุปทานเงินดอลลาร์ลดลงส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นกดดันต่อราคาทองคำ
อย่างไรก็ตามทองคำได้รับความสนใจในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยหลังจากบริษัทเอเวอร์แกรนด์ออกแถลงการณ์ยอมรับว่าบริษัทกำลังเผชิญปัญหาสภาพคล่อง และอาจไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ขณะที่นักวิเคราะห์จากบริษัททีเอส ลอมบาร์ด เตือนว่า การผิดนัดชำระหนี้ของเอเวอร์แกรนด์จะทำให้วิกฤตการณ์ทางการเงินลุกลามออกไปจนอาจกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ฝ่ายวิจัยประเมินกรอบทองคำในสัปดาห์นี้ที่ 1,730-1,780 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยแนะนำให้หาจังหวะสั้น (Short) เมื่อทองคำปรับตัวขึ้นใกล้แนวต้าน เนื่องจากเฟดเตรียมปรับลดวงเงิน QE ภายในปลายปีนี้ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำในระยะกลาง โดยในปี 2556 ที่มีการปรับลดวงเงิน QE ราคาทองคำจะปรับตัวลงและแตะจุดต่ำสุด ณ เดือนที่เฟดมีการปรับลดวงเงิน QE