สภาเกษตรฯ เสนอรัฐวาง 3 มาตรการ แก้ปัญหาหมูยั่งยืน

สภาเกษตรฯ เสนอรัฐวาง 3 มาตรการ แก้ปัญหาหมูยั่งยืน

  • 0 ตอบ
  • 71 อ่าน

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Hanako5

  • *****
  • 1982
    • บุคคลทั่วไป
    • ดูรายละเอียด
  • ชื่อ-นามสกุล: -
  • เบอร์ติดต่อ/โทรศัพท์มือถือ: -
  • ที่อยู่/สถานที่ติดต่อ: -
  • ระบุจังหวัด: -
  • ดูรายละเอียด
  • ข้อความส่วนตัว (ออฟไลน์)

     
   
 




นายประพัฒน์  ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคในสุกร  ว่า สภาเกษตรกรแห่งชาติได้จัดการประชุมหารือเพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหาให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคในสุกร

 เช่น โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ที่มีการตรวจพบว่ากลายพันธุ์แพร่กระจายในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ซึ่งต่างไปจากที่เคยตรวจพบในทวีปยุโรปและเอเชียมาก่อนหน้านี้ , โรคกลุ่มอาการระบบสืบพันธุ์และทางเดินหายใจในสุกร(PRRS) เป็นต้น

ซึ่งล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างร้ายแรง เกษตรกรต้องสูญเสียสุกรที่ป่วยตายจากโรคถึง 30% และไม่สามารถเลี้ยงสุกรต่อไปได้ เนื่องจากเชื้อโรคยังสะสมอยู่ในพื้นที่และทำให้เกิดโรคซ้ำในคอกหรือฟาร์มจนเกษตรกรรายย่อยหมดตัวไปแล้วก็มี และในอนาคตอาจถึงขั้นต้องสูญเสียอาชีพการเลี้ยงสุกรไปในที่สุด


รวมทั้งยังกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ อาทิ โรงงานอาหารสัตว์ โรงฆ่าสัตว์ โรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์สุกร ธุรกิจการค้าเวชภัณฑ์สัตว์ รวมถึงเกษตรกรผู้เพาะปลูกพืชที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ ได้แก่ ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ถั่วเหลือง มูลค่าความเสียหายโดยรวมไม่ต่ำกว่า 150,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังต้องมีภาระค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูอาชีพให้กับเกษตรกร ซึ่งต้องใช้เงินงบประมาณเป็นจำนวนมากและใช้เวลานานในการฟื้นฟู และจะก่อให้เกิดภาวะขาดแคลนเนื้อสุกรในการบริโภคอย่างรุนแรง กระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชนและความมั่นคงทางอาหารของประเทศอีกด้วย หมายรวมว่าประเทศไทยต้องสูญเสียโอกาสในการส่งออกสุกรมีชีวิต เนื้อสุกรแช่แข็งและผลิตภัณฑ์สุกรไปจำหน่ายในต่างประเทศ ซึ่งมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 22,000 ล้านบาทต่อปี 

 
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นคงด้านอาชีพแก่เกษตรกรและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอาหารของประเทศไทย เพิ่มความเข้มแข็งและอำนาจในการต่อรองของเกษตรกร และสามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจหากสามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคในประเทศได้ สภาเกษตรกรแห่งชาติในนามคณะทำงานแก้ไขปัญหาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคในสุกร สภาเกษตรกรแห่งชาติ ซึ่งคณะทำงานประกอบด้วยผู้แทนจากกรมปศุสัตว์ ผู้แทนผู้เลี้ยงสุกรทุกภูมิภาค และเอกชนผู้ประกอบการการเลี้ยงสุกร

จึงจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย “โครงการฟื้นฟูเยียวยาและปรับโครงสร้างการเลี้ยงสุกรของเกษตรกรรายกลางถึงรายย่อยทั้งประเทศเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันแบบยั่งยืน” โดยเตรียมเสนอแนวทางในการดำเนินงาน แบ่งเป็น มาตรการเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการทันที ได้แก่ การเร่งดำเนินการจ่ายเงินเยียวยาเพื่อชดเชยความเสียหายจากโรคระบาดกับเกษตรกร รายกลาง รายเล็ก รายย่อย ที่ทำลายซากสุกรไปแล้ว

 รัฐบาลควรจัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำหรือปลอดดอกเบี้ย เพื่อฟื้นฟูอาชีพเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้เพื่อให้เกษตรกรรายย่อยและรายกลาง ปรับปรุงโรงเรือน สถานที่ และระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ เพื่อเป็นระบบ GFM ของกรมปศุสัตว์ และผู้ประกอบการโรงฆ่าสุกร โรงงานแปรรูป ปรับปรุงโรงเรือนและกระบวนการผลิตเข้าสู่ระบบมาตรฐาน GMP , HACCP หรือระบบของกรมปศุสัตว์ ,

ให้นำระบบ Zoning และCompartment มาใช้ในการควบคุมและป้องกันโรคระบาดสัตว์ , ขึ้นทะเบียนคนกลางรับซื้อสุกร( broker) ทุกรายทุกขนาด , เร่งทำงานวิจัยเรื่องผลกระทบของกฎหมาย ประกาศกระทรวงต่างๆ และระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อพัฒนาวงการสุกรโดยเฉพาะรายกลาง - รายย่อย  เพื่อแก้ไขและปรับปรุงโดยด่วน , สนับสนุนให้การจัดตั้งกองทุนสุกร ให้เป็นรูปธรรม , นำระบบเศรษฐกิจใหม่ BCG Model มาใช้ในวงการปศุสัตว์

 

  มาตรการระยะปานกลาง ภายใน 3 ปี ได้แก่  การเร่งรัดให้กรมปศุสัตว์ เพิ่มศักยภาพในการตรวจวินิจฉัย ชันสูตรโรค ที่ได้มาตรฐาน ทั้งกำลังคนและเครื่องมือ หรือสร้างเครือข่ายการชันสูตรโรคกับมหาวิทยาลัยต่างๆในภูมิภาค เพื่อให้บริการแก่เกษตรกรอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ในการเคลื่อนย้ายและควบคุมโรค , สนับสนุนให้มีการวิจัย และพัฒนาการเลี้ยงสุกรเข้าสู่ ระบบ Precision agriculture ที่เหมาะสมกับเกษตรกรแต่ละระดับรวมถึงการวิจัยวัคซีน และชีวภัณฑ์ต่างๆเพื่อลดการใช้ยาปฏิชีวนะ

โดยสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศร่วมกับกรมปศุสัตว์ และ มาตรการระยะยาว ภายใน 5 ปี ได้แก่  การกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ ให้ประเทศไทยปลอดจากโรคปากและเท้าเปื่อย หรือควบคุมโรคได้ด้วยวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ , สนับสนุนให้ภาคเอกชน หรือกลุ่มเกษตรกร ตั้งโรงงานผลิตวัคซีนสำหรับสัตว์ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อใช้ในประเทศและจำหน่ายในกลุ่มอาเซียนโดยอาจอยู่ในรูป 4 P (Public , Private , Professional , People Partnership)

มาตรการทั้งหมดจะส่งถึงนายกรัฐมนตรี ,  นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการป้องกัน ควบคุม และกำจัดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรแห่งชาติ ,  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ,  ประธานคณะกรรมการนโยบายพัฒนาสุกรและผลิตภัณฑ์ (Pig Board)  ต่อไป

 

                อย่างไรก็ตาม สภาเกษตรกรแห่งชาติได้เล็งเห็นความสำคัญในการทำประกันภัยสุกร เพื่อเป็นการประกันความเสี่ยงให้กับเกษตรกรในการเลี้ยงสุกรจากสภาวะปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบในการเลี้ยงสุกรดังกล่าว จึงได้เชิญสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และสมาคมประกันวินาศภัยไทย มาให้หลักเกณฑ์และแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกร จากการประชุมหารือพบว่าการประกันภัยสุกรนั้นยังมีค่าเบี้ยประกันที่สูงอยู่ และในระยะเริ่มต้นเห็นควรเสนอให้รัฐบาลเข้ามาสนับสนุนงบประมาณในบางส่วนระยะเวลาหนึ่งก่อนเพื่อให้เกษตรกรได้ปรับตัวและมีความเข้มแข็ง

 

โดยให้สมาคมประกันวินาศภัยไทยไปปรับหลักเกณฑ์ที่สามารถเอื้อให้กับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคสุกรอีกครั้ง แล้วค่อยนำกลับมาหารือกันใหม่ในอีก 1 เดือน