'หญิงตั้งครรภ์' อัตราตายจากโควิดสูง 2.5 เท่า แต่ยังฉีดวัคซีนน้อย

'หญิงตั้งครรภ์' อัตราตายจากโควิดสูง 2.5 เท่า แต่ยังฉีดวัคซีนน้อย

  • 0 ตอบ
  • 78 อ่าน

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Jessicas

  • *****
  • 2373
    • บุคคลทั่วไป
    • ดูรายละเอียด
  • ชื่อ-นามสกุล: -
  • เบอร์ติดต่อ/โทรศัพท์มือถือ: -
  • ที่อยู่/สถานที่ติดต่อ: -
  • ระบุจังหวัด: -
  • ดูรายละเอียด
  • ข้อความส่วนตัว (ออฟไลน์)

     
   
 




ข้อมูลของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ระหว่างวันที่ 1 เม.ย.-18 ส.ค.2564 มี "หญิงตั้งครรภ์" ติดเชื้อ "โควิด-19" ถึง 2,327 คน หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 50-60 รายต่อวัน อายุ 35 ปี ขึ้นไปติดเชื้อมากสุด โดยมารดาเสียชีวิต 53 ราย และทารกเสียชีวิต 23 ราย ทำคลอดไปแล้ว 1,129 ราย  ส่วนใหญ่ผ่าตัดคลอดและคลอดก่อนกำหนดเกือบ 18% เทียบกับการคลอดก่อนกำหนดในสถานการณ์ปกติของไทยอยู่ที่ 1% 

ทั้งนี้ข้อมูล วันที่ 13ส.ค. ที่ผ่านมาพบว่า ปัจจัยการเสียชีวิตของ "หญิงตั้งครรภ์ติดโควิด" กว่า70% เป็นข้อจำกัดภายในระบบบริการ 21% เป็นปัญหาการเข้าถึงบริการ และ 9% เป็นปัญหาจากหญิงตั้งครรภ์เอง


“พญ.ชัญวลี ศรีสุโข” สูตินรีแพทย์ รพ.พิจิตร กล่าวว่า ขณะนี้อัตราการเสียชีวิตของหญิงตั้งครรภ์ที่ติดโควิดประมาณ 2.5% ค่อนข้างสูง เทียบกับคนปกติที่อัตราการเสียชีวิตจากโควิดไม่ถึง 1% เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคอุบัติใหม่ ถึงแม้ผู้ติดเชื้ออยู่ในภาวะขาดออกซิเจน แต่บางคนอาการที่แสดงออกเหมือนว่าไม่เป็นอะไรมาก (Happy hypoxemia) เช้าเหนื่อยไม่มากแต่ตอนเย็นอาจเสียชีวิตได้


“การเสียชีวิตในคนท้องเป็นโศกนาฏกรรม ที่อาจเสียชีวิตได้ถึง 2 คน โดยกรณีคุณแม่นั้นพบว่าส่วนหนึ่งเสียชีวิตหลังคลอดตั้งแต่ 1วัน - 4 สัปดาห์ ส่วนอัตราการเสียชีวิตของทารกในครรภ์ที่แม่ติดโควิดอยู่ที่ 40% โดยเฉพาะติดเชื้อตอนอายุครรภ์น้อยกว่า 6 เดือน หากติดเชื้อเมื่ออายุครรภ์มากกว่านี้ เด็กมีโอกาสรอดชีวิตจากวิทยาการทางการแพทย์ที่สามารถช่วยเหลือเด็กได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 24 สัปดาห์ขึ้นไป”พญ.ชัญวลีกล่าว

พญ.ชัญวลี กล่าวอีกว่า ในสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้การป้องกันหญิงตั้งครรภ์ไม่ให้ติดเชื้อจึงสำคัญ โดยการให้อยู่บ้านมากที่สุด เป็นการเว้นระยะห่าง และเลี่ยงปัญหาการหายใจลำบากจากการที่ต้องสวมหน้ากากอนามัย เพราะลำพังไม่สวมหน้ากากอนามัยหญิงตั้งครรภ์ก็หายใจลำบากอยู่แล้ว รวมถึง ต้องส่งเสริมให้หญิงตั้งครรภ์เข้าถึงการฉีดวัคซีนโดยเร็ว ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนชนิดใด เพื่อป้องกันการติดเชื้ออาการหนัก และการเข้าถึงชุดตรวจ ATK ที่มีคุณภาพ

หญิงตั้งครรภ์ฉีดวัคซีนต่ำ

"นพ.เอกชัย เพียรศรีวัชรา" ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมสุขภาพ และโฆษกกรมอนามัย กล่าวว่าการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด19 ของหญิงตั้งครรภ์ยังค่อนข้างน้อย จนถึงวันที่ 19 ส.ค.2564 ประมาณ 2 หมื่นรายแต่เป้าหมายที่มีหญิงตั้งครรภ์ปีละประมาณ 5 แสนราย เท่ากับยังไม่ถึง 10 % 

ทั้งนี้ ในระบบหมอพร้อม ณ วันที่ 29 ส.ค.2564 เวลา 23.12 น. ประเทศไทยมีการฉีดวัคซีนสะสมแล้ว 31,096,234 โดส เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 23.105,616 ราย เข็มที่ 2 จำนวน7,358,886 ราย เข็มที่ 3 จำนวน 631,423 ราย และเข็มที่4 จำนวน 396ราย ซึ่งในจำนวนฉีดวัคซีนสะสมทั้งหมดกว่า 31 ล้านโดสนั้น เป็นหญิงตั้งครรภ์ที่เข้ารับการฉีดเพียง 4 หมื่นโดส


วัคซีนโควิดไม่อันตราย
นพ.เอกชัย กล่าวอีกว่า กรณีสตรีตั้งครรภ์จะฉีดวัคซีนโควิด19 ต้องทำอย่างไร อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไปขอให้ไปฉีดวัคซีนโควิด 19 ซึ่งคำแนะนำจากราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ มีหลายสูตร คือ 1. เข็มแรกเป็นซิโนแวค เข็ม 2 เป็นแอสตร้าเซนเนก้า 2. สูตรแอสตร้าฯ 2 เข็ม 3. สูตรไฟเซอร์ 2 เข็ม

ทั้งนี้ กรณีจะเร่งสร้างภูมิคุ้มกันเร็วที่สุดคือสูตรที่ 1 ซิโนแวคเข็มแรก และตามด้วยแอสตร้าฯ เป็นเข็มที่ 2 เพราะใช้เวลาห่างระหว่างเข็มแค่ 3 สัปดาห์ และเกิดภูมิหลังจากนั้น 2 สัปดาห์ ส่วนสูตรที่ 2 ระยะห่างระหว่างเข็ม 8 สัปดาห์ ส่วนสูตรที่ 3 ไฟเซอร์ เข้ามาไม่มาก ยังไม่เพียงพอต่อการฉีดหญิงตั้งครรภ์ที่มีกว่า 500,000 คน อีกทั้งยังต้องฉีดกลุ่มเสี่ยง 608 ด้วย สำหรับผลข้างเคียงไม่แตกต่างจากคนทั่วไป จึงไม่ต้องกังวล

แล้วถ้าฉีดวัคซีนโควิด19 แล้วพบว่าตั้งครรภ์จะทำอย่างไร สามารถตั้งครรภ์ได้ตามปกติ เพียงแต่โดยปกติคนที่ตั้งครรภ์ในไตรมาสแรก หรือ 3 เดือนแรกจะมีอัตราการแท้งตามธรรมชาติ 10-12% จึงให้เลี่ยงการฉีดวัคซีนในไตรมาสแรก เพื่อไม่ให้เกิดความกังวลใจว่าแท้งจากวัคซีนหรือไม่ และสตรีที่วางแผนจะตั้งครรภ์ จะฉีดวัคซีนโควิด19 ได้หรือไม่ สามารถฉีดวัคซีนได้ หลังฉีดไม่ต้องเว้นระยะการมีบุตร ไม่ต้องตรวจการตั้งครรภ์ก่อนฉีด และไม่มีหลักฐานว่าการฉีดจะทำให้มีลูกยาก อย่างไรก็ตาม ขอให้หญิงตั้งครรภ์เน้นการทำงานที่บ้าน โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยง .

ทพ.อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า ตามกฎหมายกำหนดให้โรคโควิด 19 เป็นการเจ็บป่วยฉุกเฉิน สถานพยาบาลต้องให้การรักษา ปฏิเสธไม่ได้ หากเกินศักยภาพต้องดูแลประสานส่งต่อ หากฝ่าฝืนจะมีโทษจำคุก2ปี ปรับไม่เกิน4หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ยังห้ามเรียกเก็บเงินค่ารักษาด้วย จากนี้จะมีการกำชับสถานพยาบาลเรื่องนี้มากขึ้น.

แนะหญิงตั้งครรภ์ WFH 100 %
นพ.โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่ากรมอนามัยได้จัดแนวทางการทำงานของหญิงตั้งครรภ์ เสนอต่อที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (ศปก.สธ.) พิจารณาออกข้อบังคับให้ หญิงตั้งครรภ์ทำงานที่บ้าน (work from home) 100% จากเดิมที่เป็นเพียงมาตรการขอความร่วมมือเท่านั้น นอกจากนี้ ยังเสนอให้ทำงานที่บ้านต่อกระทรวงแรงงานและกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งก็รับเรื่องแล้วแต่ว่าจะมีการกำหนดให้มีการปฏิบัติจริงได้อย่างไร

ยื่น 4 ข้อเรียกร้องรัฐดูแล
นางสาวจรีย์ ศรีสวัสดิ์ หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมภาคีเครือข่าย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า ข้อเสนอต่อสธ. ดังนี้ 1.ขอให้กำกับดูแลรพ.ที่รับฝากครรภ์ ไม่ควรปฏิเสธการทำคลอด-รักษาหญิงตั้งครรภ์ที่ติดโควิด-19หากเกินศักยภาพที่รพ.จะดูแลรักษาได้ ต้องมีเจ้าหน้าที่ดูแล ประสานต่อ ไม่ปล่อยให้ผู้ป่วยและครอบครัวไปหาสถานพยาบาลเอง2.ให้เร่งฉีดวัคซีนให้หญิงครรภ์อายุครรภ์12สัปดาห์ขึ้นไปให้มีความครอบคลุมมากขึ้น เนื่องจากพบว่าปัจจุบันมีการฉีดวัคซีนไม่ถึง3%ในขณะที่อัตราการเสียชีวิตในหญิงตั้งครรภ์สูงถึง 2.5%

3.กรณีหญิงตั้งครรภ์ติดโควิด-19เสียชีวิต หรือลูกเสียชีวิต หรือเสียชีวิตทั้งแม่ทั้งลูก รพ.ต้องจัดให้นักสังคมสังเคราะห์ประเมิน และวิเคราะห์รายกรณี เพื่อประสานการช่วยเหลือ เยียวยาสภาพจิตใจครอบครัว ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นต้น

และ 4.สธ.ต้องเชื่อมต่อกับโรงงานต่างๆ ให้บริษัทฯ มีการตรวจคัดกรองเชิงรุกให้กับคนงานต่อเนื่องเพื่อแยกผู้ติดเชื้อฯ ออกมารักษาตามระบบป้องกันการแพร่กระจายสู่ผู้อื่น สนับสนุนให้แต่ละสถานประกอบการมี Factory isolation ที่มีมาตรฐาน โดยมีบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาลในการดูแลผู้ติดเชื้อ มีระบบการประสานส่งต่อคนงานที่มีอาการเริ่มรุนแรง รวมเชื่อมโยงการทำHome isolationที่ถูกต้อง