เสียวหมี่ โหมหนัก ‘
Smartphone x AIoT’ สมาร์ทโฟนและดีไวซ์ต้องไม่ธรรมดา เชื่อมจักรวาลอินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ที่ไร้รอยต่อ หนุนรายได้ไตรมาส 2 พุ่ง 64% ตลาดต่างประเทศ "แกร่ง" รั้งเบอร์ 1 ไทย และเบอร์ 2 โลก "จับตา 15 ก.ย.นี้" ทัพผลิตภัณฑ์ใหม่จ่อคิวเซอร์ไพร์ส
จับตาอย่าให้กระพริบ เมื่อ เสียวหมี่ ยังปลุกกลยุทธ์ ‘Smartphone x AIoT’ อย่างต่อเนื่อง สมาร์ทโฟนและดีไวซ์ที่ต้องไม่ธรรมดา เชื่อมอินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ได้อย่างไร้รอยต่อ และความกร้าวแกร่งในกลยุทธ์แบรนด์คู่ หรือ Dual Brand Strategy ระหว่าง Xiaomi และ Redmi รวมถึงการทุ่มลงทุนในเทคโนโลยีชั้นสูง ส่งผลให้รายได้ไตรมาส 2 เติบโตพุ่ง 64% ทุกกลุ่มธุรกิจ ผลประกอบการสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ตัวเลขเติบโตในตลาดต่างประเทศ "แข็งแกร่ง" รั้งเบอร์ 1 ตลาดยุโรป ตลาดไทย และรั้งอันดับ 2 สมาร์ทโฟนโลก
เมื่อเร็วๆ นี้ เสียวหมี่ ก้าวขึ้นสู่อันดับ 338 บนฟอร์จูนโกล. 500 ขึ้นเป็นองค์กรที่เติบโตเร็วที่สุดในปี 2021 ในหมวดหมู่อินเทอร์เน็ตและการค้าปลีก การเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นพรีเมียม การขยายธุรกิจในตลาดต่างประเทศ และแผนการค้าปลีกแบบใหม่ ผลักดันการเติบโต ให้เสียวหมี่เข้าไปติดอยู่ในรายชื่อฟอร์จูน 500 เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน
ครั้งนั้น เหลย จุน ซีอีโอ Xiaomi บอกว่า "หากเปรียบเทียบกับความสำเร็จที่ผ่านๆ มา ผมมุ่งเน้นการเติบโตทางด้านศักยภาพของพวกเรามากขึ้น เสียวหมี่ยังคงเป็นบริษัทที่ใหม่มากแต่ก็เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจมากมาย ผมอยากขอบคุณแฟนๆ ของเสียวหมี่ทั่วโลกอย่างใจจริง เพราะแรงสนับสนุนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของพวกเขา ทำให้เสียวหมี่ของเรามีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยพลังเสมอมา ผมคิดว่านี่ยังไม่ถึงขีดจำกัดของเสียวหมี่และผมมั่นใจว่าผู้คนจะต้องได้เห็นเสียวหมี่ในรูปแบบที่ทั้งแข็งแรงและมีพลังมากขึ้นกว่าเดิมในอนาคต และเราจะต้องไปถึงสถิติที่โดดเด่นกว่าเดิมบนฟอร์จูน โกล.ในปีหน้าอย่างแน่นอน"
มีรายงานว่า วันที่ 15 ก.ย.นี้ เสียวหมี่ เตรียมขนทัพผลิตภัณฑ์ใหม่เขย่าโลกดิจิทัลอีกครั้ง และมาลุ้นกันว่า เสียวหมี่ จะตัดสินใจ ทิ้งแบรนด์ Mi จริงหรือไม่ เพราะข่าวก่อนหน้านี้ระบุว่า เสียวหมี่ กำลังตัดสินใจรีแบรนด์ดิ้ง และมีความเป็นไปได้สูงที่จะตัดชื่อแบรนด์ “Mi” ออกจากทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ที่จะเปิดตัวในอนาคต อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่คาดว่า จะเปิดตัวในงานนี้ ยังคงมีชื่อ Mi
คาดการณ์ ผลิตภัณฑ์ใหม่ เรือธงแบบฉบับ Xiaomi ที่จะได้เห็นในวันที่ 15 ก.ย.นี้
-Xiaomi Mi 11T
-Xiaomi smart home gadgets
-Xiaomi Mi Pad 5
-Xiaomi Mi Note 11
-Xiaomi Mi 11 Lite - again
-Xiaomi Mi 12
ไตรมาส 2 ทุกกลุ่มโชว์เหนือ
ล่าสุด เสียวหมี่ ที่วาง position ตัวเองว่า เด่นเรื่องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค และอุตสาหกรรมการผลิตอัจฉริยะ แข็งแกร่งด้านสมาร์ทโฟน และสมาร์ทฮาร์ดแวร์ที่เชื่อมต่อบนแพลตฟอร์ม Internet of Things (IoT) เปิดเผยรายได้ช่วงไตรมาส 2 อย่างแช่มชื่น
ไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 เสียวหมี่มีรายได้กว่า 87.8 พันล้านหยวน เติบโตขึ้น 64% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรหลังการปรับปรุงอยู่ที่ 6.3 พันล้านหยวน เติบโตขึ้น 87.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นับว่ารายได้รวมและกำไรหลังการปรับปรุงสูงขึ้นอย่างเป็นประวัติการณ์ในไตรมาสนี้
ตัวเลขไฮไลต์ของช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 มีดังนี้
• รายได้รวม 87,789 ล้านหยวน เติบโต 64% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
• กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 15,148.1 ล้านหยวน เติบโต 96.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
• กำไรหลังการปรับปรุงอยู่ที่ 6,321.5 ล้านหยวน โตขึ้น 87.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ตัวเลขไฮไลต์ครึ่งปีแรกของ 2564 มีดังนี้
• รายได้รวม 164,671.2 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 59.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
• กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 29,309.4 ล้านหยวน เติบโต 92.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
• กำไรหลังการปรับปรุงอยู่ที่ 12,390.8 ล้านหยวน โตขึ้น 118.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ถ้อยแถลงของ เสียวหมี่ ระบุว่า “ไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 กลยุทธ์ ‘Smartphone x AIoT’ ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของพวกเรา ต่อจากนี้ เสียวหมี่จะเดินหน้าไปกับกลยุทธ์แบรนด์ควบคู่ หรือ Dual Brand Strategy และเพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยีชั้นสูง อีกทั้งจ้างงานและพัฒนากลุ่มผู้มีทักษะทั้งหลาย ตลอดจนพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่าย และยกระดับการให้บริการพรีเมียมสมาร์ทโฟนรวมถึงประสบการณ์ผู้ใช้งาน
กลยุทธ์ ‘Smartphone x AIoT’ - สู่อันดับ 2 สมาร์ทโฟนโลก
เราจะยังยึดถือกลยุทธ์หลักของเรา ‘Smartphone x AIoT’ โดยทำงานอย่างทุ่มเทเพื่อพัฒนานวัตกรรมชั้นสูงรวมถึงเทคโนโลยีล้ำสมัยในทุกกลุ่มสินค้า นอกจากนี้ เสียวหมี่จะพัฒนาระบบการเชื่อมต่อระหว่างสมาร์ทโฟนและสินค้า AIoT เพื่อส่งมอบประสบการณ์การใช้งานอย่างสมบูรณ์ในทุกกลุ่มสินค้าและยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนบนโลกนี้ให้ดียิ่งขึ้น"
ผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ 2 การส่งมอบสมาร์ทโฟนทั่วโลก ส่งผลให้เสียวหมี่ขึ้นแท่นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอันดับที่ 2 และด้วยนวัตกรรมและคุณภาพที่ดีของสินค้า เสียวหมี่ได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มตลาดสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมอย่างแท้จริง
ผลจากการที่เสียวหมี่มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง มีการจ้างงานและพัฒนาทักษะพนักงาน รวมถึงพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า ธุรกิจสมาร์ทโฟนของเสียวหมี่จึงเติบโตขึ้นอย่างมากในไตรมาสที่สองของปี 2564
เห็นได้จากรายได้และยอดการส่งมอบที่ทุบสถิติ ซึ่งรายได้รวมจากการขายสมาร์ทโฟนอยู่ที่ 59.1 พันล้านหยวน แสดงให้เห็นถึงอัตราการเติบโต 86.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เสียวหมี่ส่งมอบสมาร์ทโฟนกว่า 52.9 ล้านเครื่อง เพิ่มสูงขึ้น 86.8% เมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
ตามรายงานของ Canalys พบว่า การส่งมอบสมาร์ทโฟนทั่วโลกของเสียวหมี่ได้ไต่ขึ้นไปอยู่อันดับสอง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของไตรมาสนี้ โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 16.7%
การส่งมอบสมาร์ทโฟนของเสียวหมี่ในประเทศจีนก็เติบโตอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ทั้งพบว่าในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 ส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศจีนเพิ่มขึ้นเป็นเป็น 16.8% จาก 10.3% เมื่อไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 จึงทำให้เสียวหมี่ขึ้นเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนอันดับที่ 3 ด้วยการเติบโตขึ้น 35.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนในด้านการส่งมอบสมาร์ทโฟน นับได้ว่าเป็นการเติบโตในอัตราที่สูงที่สุดในหมู่บรรดาผู้เล่นหลักในตลาด
กลยุทธ์ Dual Brand Strategy
กลยุทธ์ Dual Brand Strategy ภายใต้แบรนด์เสียวหมี่ ยังคงแข็งแกร่ง Xiaomi และ Redmi มีรุ่นใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่ง ขณะที่ เสียวหมี่ มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มสินค้าในกลุ่มสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียม ไตรมาสแรก เสียวหมี่ ประสบความสำเร็จอย่างงดงามจาก Xiaomi 11 Pro, Xiaomi 11 Ultra และ Xiaomi MIX FOLD ที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว
และเมื่อ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา เสียวหมี่เปิดตัว Xiaomi MIX 4 สมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ใช้เทคโนโลยีกล้องใต้จอแสดงผลอย่างเต็มรูปแบบ จากข้อมูลของแหล่งอ้างอิงภายนอก ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 ส่วนแบ่งทางการตลาดของสมาร์ทโฟนของ เสียวหมี่ในประเทศจีน ซึ่งมีราคาวางจำหน่ายอยู่ในช่วง 3,000 หยวนถึง 4,000 หยวน และ 4,000 หยวนถึง 5,000 หยวน รวมถึงกลุ่ม 5,000 หยวนขึ้นไป ได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ครึ่งแรกของปี 2564 การส่งมอบสมาร์ทโฟนทั่วโลกที่มีราคาจำหน่ายมากกว่า 3,000 หยวนขึ้นไปในประเทศจีน และ 300 ยูโรหรือเทียบเท่าในตลาดต่างประเทศ ได้มีการส่งมอบไปแล้วกว่า 12 ล้านเครื่อง ซึ่งเกินกว่ายอด 10 ล้านเครื่องในปี 2563 ทั้งปีที่ได้เคยส่งมอบไป
แบรนด์ Redmi ยังคงมีผลิตภัณฑ์ที่สามารถแข่งขันได้อย่างต่อเนื่อง ยอดส่งมอบ Redmi Note Series ทั่วโลกได้ทะลุไปกว่า 200 ล้านเครื่อง แสดงให้เห็นถึงการตอบรับแบรนด์ Redmi อย่างดีจากผู้ใช้งานส่วนใหญ่ รวมถึงยังสะท้อนคุณภาพที่ดีของสินค้าอีกด้วย โดยในวันที่ 26 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา เสียวหมี่ได้เปิดตัว Redmi Note 10 Series ในประเทศจีน ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้ใช้งาน
เสี่ยวหมี่ วางกลยุทธหลัก “Smartphone x AIoT” เพื่อยกระดับการเชื่อมต่อในทุกอุปกรณ์อัจฉริยะ ไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 สินค้าไลฟ์สไตล์และ ผลิตภัณฑ์ AIoT ยังสามารถรักษาอัตราการเติบโตอย่างมั่นคง โดยรายได้รวมเพิ่มขึ้นกว่า 35.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือที่ 20.7 พันล้านหยวน
สมาร์ททีวี ของเสียวหมี่ ส่งมอบไปกว่า 2.5 ล้านเครื่องทั่วโลก ซึ่งนับได้ว่าเสียวหมี่สามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาดไว้ได้ จากการรายงานของ All View Cloud (“AVC”) การส่งมอบทีวีของเสียวหมี่ครองอันดับหนึ่งในประเทศจีนติดกันเป็นไตรมาสที่สิบ และยังรั้งอยู่ในห้าอันดับแรกของโลกเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์และ AIoT ของเสียวหมี่ยังสามารถรักษาอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดต่างประเทศ โดยรายได้จากสินค้ากลุ่มนี้ในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น 93.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในช่วงปีก่อน สินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดนี้มี อาทิ สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า สมาร์ททีวี สมาร์ทแบนด์ และ สมาร์ทวอทช์ เป็นต้น
ยิ่งไปกว่านั้น ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 เสียวหมี่ มีจำนวนผลิตภัณฑ์ IoT (ไม่รวมสมาร์ทโฟนและแล็ปท็อป) กว่า 374.5 ล้านเครื่องที่เชื่อมต่ออยู่กับแพลตฟอร์ม AIoT ซึ่งเพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวนของผู้ใช้งานที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ 5 เครื่องหรือมากกว่ากับแพลตฟอร์ม (ซึ่งไม่รวมสมาร์ทโฟนและแล็ปท็อป) ได้แตะ 7.4 ล้านคนเป็นที่เรียบร้อย สะท้อนให้เห็นอัตราที่เพิ่มขึ้นถึง 44.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
เดือนมิถุนายนนี้เอง มีจำนวนผู้ใช้งานผู้ช่วยอัจฉริยะ AI Assistant (“小愛同學”) เกินกว่า 100 ล้านคนเป็นครั้งแรก โดยมีจำนวนผู้ใช้งานต่อเดือนถึง 102 ล้านคน และจำนวนผู้ใช้งานที่เชื่อมต่อกับ Mi Home App เพิ่มขึ้นถึง 56.5 ล้านคน นับเป็นการเติบโตกว่า 38.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน
สินค้าและบริการเป็นที่ยอมรับในตลาดหลายประเทศ - ขึ้นอันดับ 1 เป็นครั้งแรกในยุโรป
ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 เสียวหมี่ยังสามารถเติบโตได้ดีในตลาดต่างประเทศ โดยสามารถส่งมอบสินค้าได้มากที่สุดเป็นประวัติกาลในตลาดหลักทั่วโลก ในไตรมาสนี้ เสียวหมี่มีรายได้จากตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น 81.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว คิดเป็น 43.6 พันล้านหยวน ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่สูงมากและยังคิดเป็น 49.7% จากรายได้รวม
Canalys พบว่า ส่วนแบ่งทางการตลาดของเสียวหมี่ในไตรมาสนี้ติดห้าอันดับสูงสุดในกว่า 65 ประเทศทั่วโลก และขึ้นเป็นอันดับหนึ่งใน 22 ประเทศ โดยใน 10 ประเทศเหล่านั้น เสียวหมี่ได้ขึ้นอันดับหนึ่งเป็นครั้งแรก
เสียวหมี่ยังคงพยายามเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดสำคัญด้วย
-เสียวหมี่ขึ้นอันดับหนึ่งในทวีปยุโรปเป็นครั้งแรก ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 28.5% ในไตรมาสที่ 2
-โซนยุโรปตะวันตก ส่วนแบ่งทางการตลาดของสมาร์ทโฟนของเสียวหมี่ขึ้นไปถึง 22.2% และยังติดอยู่ในสามอันดับแรก
-เสียวหมี่ขึ้นอันดับหนึ่งเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกันในโซนยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 36.4%
-ในสเปน เสียวหมี่ขึ้นอันดับหนึ่งติดกันกว่า 6 ไตรมาส มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 41.2%
-ในอิตาลีและประเทศฝรั่งเศส เสียวหมี่ขึ้นอับดับหนึ่งเป็นครั้งแรกโดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 35% และ 29.7% ตามลำดับ
-ในเยอรมนี เสียวหมี่ยังสามารถรั้งสามอันดับแรกไว้ได้ โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 15.2%
นอกจากนี้ เสียวหมี่ยังเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในตลาดเกิดใหม่ การเติบโตที่รวดเร็วของสินค้ากลุ่มสมาร์ทโฟน
-ตลาดลาตินอเมริกาช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 ยอดส่งมอบเพิ่มขึ้น 324.4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเสียวหมี่ได้ติดอยู่สามอับดับแรก
-ในตลาดกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกาก็เพิ่มขึ้น 20.9% และ 8.5% ตามลำดับ
-ส่งมอบสินค้าให้แก่ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างดีเยี่ยม เป็นอันดับหนึ่งและมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 28.2%
กลุ่มธุรกิจเสียวหมี่ยังคงมีความพยายาม ที่จะยกระดับช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์ในตลาดต่างประเทศ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 เสียวหมี่ได้จำหน่ายสมาร์ทโฟนไปแล้วกว่า 10 ล้านเครื่องผ่านช่องทางการขายออนไลน์ในตลาดต่างประเทศ ยกเว้นประเทศอินเดีย ซึ่งนับได้ว่าเป็นการเติบโตกว่า 60% เมื่อเทียบกันกับช่วงเดียวของปีที่แล้ว
การเติบโตอย่างแข็งแกร่งเกิดจากความพยายามอย่างไม่ลดละในการคิดค้นนวัตกรรมสินค้าเทคโนโลยีและพัฒนาผู้เชี่ยวชาญ คือ จุดแข็งของเสียวหมี่ ที่พยายาม มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีระดับสูงเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 นี้ ในรายงานระบุว่า เสียวหมี่ได้ทุ่มงบวิจัยและพัฒนาไปกว่า 3.1 พันล้านหยวน ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 56.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในเดือนกรกฎาคม 2564 กลุ่มธุรกิจเสียวหมี่ได้ลงทุนในโรงงานอัจฉริยะ Changping Smart Factory ในเขต Chang-ping กรุงปักกิ่ง นอกจากจะมีใช้เพื่อการผลิตสินค้าแล้ว บริเวณนี้จะยังถูกสร้างเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาสินค้า ควบคู่ไปกับโรงงานอัจฉริยะ Yizhuang Smart Factory
เสียวหมี่ตั้งเป้าให้ Changping Smart Factory ผลิตสมาร์ทโฟนระดับ พรีเมียมกว่า 10 ล้านเครื่องต่อปี และยังเชื่อมั่นว่าโรงงานอัจฉริยะนี้จะสามารถยกระดับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ตลอดจนสามารถยกระดับความสามารถในการผลิต และปฏิวัติอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศจีนอย่างรวดเร็ว
รั้งเบอร์ 1 ตลาดสมาร์ทโฟนไทย
ส่วนตลาดในประเทศไทย แน่นอนว่า เสียวหมี่ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ไม่เฉพาะโปรดักส์เด่นอย่าง สมาร์ทโฟน แต่อุปกรณ์ดีไวซ์ต่างๆ มากมาย ชิ้นเล็ก ชิ้นใหญ่ ก็ได้รับการยอมรับที่น่าประทับใจเช่นกัน
รายงานของบริษัทวิจัย Canalys เผยว่า เสียวหมี่ ประเทศไทย ขึ้นแท่นเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนที่มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับที่ 1 ของประเทศไทยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 เป็นครั้งแรก ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 21% พร้อมครองแชมป์อัตราการเติบโตสูงถึง 200% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า นอกจากนี้ จากรายงานของ 4 บริษัทวิจัยตลาดชั้นนำ พบว่า เสียวหมี่ก้าวขึ้นเป็นอันดับ 2 ตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลก
โจนาธาน คัง ผู้จัดการ เสียวหมี่ ประเทศไทย กล่าวว่า "ขอบคุณเสียวหมี่แฟน, ลูกค้า, พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ และผู้สนับสนุนที่เกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน ที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของแบรนด์สมาร์ทโฟนในประเทศไทย
ความสำเร็จในครั้งนี้เป็นเครื่องยืนยันความเชื่อมั่นที่ผู้บริโภคชาวไทยมีให้แบรนด์เสียวหมี่ โดยเราจะยังคงเดินหน้าพัฒนาในทุกๆ ด้านต่อไป ซึ่งนับตั้งแต่เสียวหมี่วางจำหน่ายสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมรุ่นแรก คือสมาร์ทโฟนตระกูล Mi 10
เสียวหมี่ลงทุนด้านที่สำคัญหลายด้าน ทั้งด้านเทคโนโลยีกล้อง หน้าจอ ระบบชาร์จ กระบวนการผลิตแบบอัจฉริยะ และอื่นๆ อีกจำนวนมาก นอกจากนี้ยังลงทุนอีกหลากหลายด้านเพื่อก้าวเข้าสู่ตลาดระดับพรีเมียมด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีอันล้ำหน้าสู่มือของผู้บริโภค และเป็นผู้กำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน"