ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ประเมินผลกระทบของโควิด-19 ในปีที่ผ่านมา ทำให้ประชากรราว 80 ล้านคนในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเอเชียเข้าสู่ “
ความยากจนขั้นรุนแรง” (extreme poverty) และอาจเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมายขจัดปัญหาความยากจนและความหิวโหยระดับโลกภายในปี 2030
แบบจำลองของ ADB ระบุว่า อัตราความยากจนขั้นรุนแรงในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเอเชีย ซึ่งหมายถึงสัดส่วนประชากรที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.90 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน จะลดลงเหลือเพียง 2.6% ในปี 2020 จากระดับ 5.2% ในปี 2017 หากไม่เกิดโรคระบาดโควิด-19 ทว่า วิกฤตสาธารณสุขที่เกิดขึ้นทำให้อัตราความยากจนขั้นรุนแรงพุ่งสูงกว่าที่ประเมินไว้ราว 2%
รายงานของ ADB ย้ำว่า ตัวเลขอาจจะสูงยิ่งกว่านี้ หากพิจารณาถึงความไม่เท่าเทียมในด้านต่างๆ เช่น สุขภาวะ การศึกษา และการหยุดชะงักของงาน (work disruptions) ที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากโควิด-19 ทำให้การเคลื่อนย้ายของประชากรและกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ หยุดชะงัก
“ผลกระทบในด้านเศรษฐกิจและสังคมจากมาตรการควบคุมโรคยังคงปรากฏให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ประชากรจำนวนมากต้องดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงปากท้อง และสุ่มเสี่ยงที่จะเข้าสู่วงจรของความยากจน” ADB ซึ่งมีฐานอยู่ที่กรุงมะนิลา ระบุ
ในบรรดาประเทศกำลังพัฒนา 46 ชาติ และประเทศพัฒนาแล้ว 3 ชาติในเอเชียแปซิฟิกที่เป็นสมาชิกของ ADB มีเพียง 1 ใน 4 เท่านั้นที่เศรษฐกิจยังคงเติบโตได้ในปีที่ผ่านมา ขณะที่อัตราการจ้างงานที่ลดลงส่งผลให้ชั่วโมงการทำงานในภูมิภาคนี้ลดลงประมาณ 8% ซึ่งส่งผลกระทบมากเป็นพิเศษต่อครัวเรือนที่มีฐานะยากจน และแรงงานนอกระบบ (informal sector)
ความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากพิษโควิด-19 ยังเพิ่มความท้าทายให้ภูมิภาคนี้ในการที่จะบรรลุซึ่งเป้าหมายด้านการพัฒนาที่องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ได้กำหนดไว้เมื่อปี 2015
รัฐสมาชิกยูเอ็นได้มีมติเป็นเอกฉันท์รับรองเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (sustainable development goals : SDGs) 17 ประการ ซึ่งเป็นกรอบการดำเนินงานด้านการพัฒนาที่ท้าทายตั้งแต่การขจัดปัญหาความยากจน เรื่อยไปจนถึงปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเพศ รวมถึงขยายโอกาสทางการศึกษาและบริการด้านสาธารณสุขให้ครอบคลุมประชากรทุกกลุ่มภายในปี 2030
“เอเชียและแปซิฟิกมีระดับความก้าวหน้าเป็นที่น่าพอใจ ทว่า สถานการณ์โควิด-19 เผยให้เห็นรอยแยกทางเศรษฐกิจที่อาจจะบั่นทอนการพัฒนาอย่างยั่งยืนแบบองค์รวมของภูมิภาคนี้” ยาสุยุกิ ซาวาดะ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ ADB ระบุในถ้อยแถลง
ที่มา : รอยเตอร์