นายธานิน สัจจะบริบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกชีทเม็ททัล จำกัด (มหาชน) หรือ BM เปิดเผย
ผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2 ปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 285.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 97.07 ล้านบาท หรือ 51.65% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 23.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.47 ล้านบาท หรือ 711.66% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯ มีงานส่งออกไปยังต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการอ่อนค่าของเงินบาท ส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับประโยชน์ดังกล่าว รวมทั้งความสามารถในการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถทำกำไรได้ดียิ่งขึ้น ถึงแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังระบาดเป็นวงกว้าง
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 19.41% เพิ่มขึ้น 6.13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 13.28% เนื่องจากบริษัทฯ มีการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบได้ดี เช่น การจองเหล็กไว้ล่วงหน้า บริษัทฯ จึงได้เปรียบจากงานที่จำเป็นต้องใช้เหล็กร่วมกัน และการสั่งจองสินค้าในปริมาณมากทำให้บริษัทฯ สามารถขายสินค้าได้ในราคาต้นทุนที่ต่ำ เมื่อเทียบกับราคาขายที่สูงขึ้นตามภาวะตลาด
“ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มียอดขายที่เพิ่มขึ้นในแทบทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะงานส่งออกที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับค่าเงินบาทอ่อนค่าลง รวมถึงการได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีจากการการทำโซลาร์รูฟ ทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงความสามารถของทีมผู้บริหารที่มีการวางแผนงานอย่างมีประสิทธิภาพและการจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างรัดกุม ซึ่งส่งผลดีต่อกำไรของบริษัทฯ” นายธานิน กล่าว
นายธานิน กล่าวต่อว่า แม้สถานการณ์ในปัจจุบันยังคงมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพและความสามารถของทีมผู้บริหารท่ามกลางภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้น ประกอบกับการได้รับคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงประเมินว่าช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซัน บริษัทฯ จะยังคงรักษาการเติบโตของรายได้และสามารถทำกำไรของบริษัทเอาไว้ได้ตามเป้าที่วางไว้
อนึ่ง สำหรับผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 566.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 157.85 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 38.62% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 37.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.99 ล้านบาท หรือ 403.63% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน