แพทย์หญิงแอนน์ ไรมอยน์ นักโรคระบาดวิทยา ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนสหรัฐฯ ช่วงปลายสัปดาห์ เห็นพ้องกับนายแพทย์แอนโทนี เฟาซี หัวหน้าที่ปรึกษาด้านการแพทย์ของทำเนียบขาว ระบุดูเหมือนไม่หนึ่งวันใดทุกคนคงต้อง
ฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้น ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มคนระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ท่ามกลางประสิทธิภาพของวัคซีนที่ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป
"ฉันคิดว่า นายแพทย์เฟาซีพูดถูกนะ" ไรมอยน์ ศาสตราจารย์ด้านโรคระบาดวิทยาแห่งวิทยาลัยสาธารณสุขยูซีแอลเอ ระบุ "สิ่งที่กำลังทำให้การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นมีเหตุผลอันควรก็คือ เมื่อครั้งเราเห็นประสิทธิภาพของวัคซีนนี้ลดลงอย่างแท้จริงในการป้องกันผู้คนจากการติดเชื้ออาการหนัก จากการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิต เรายังไม่อยู่ในจุดนั้น แต่เมื่อถึงจุดนั้น นั่นคือถึงเวลาที่เราจำเป็นต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น"
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (ซีดีซี) เห็นชอบขั้นสุดท้ายในวันศุกร์ (13 ส.ค.) ให้เริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้นแก่ผู้รับวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นา ไม่กี่ชั่วโมงหลังคณะกรรมการสำคัญชุดหนึ่งลงมติเป็นเอกฉันท์สนับสนุนให้ฉีดวีคซีนเข็ม 3 แก่ชาวอเมริกาที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
ความเคลื่อนไหวของซีดีซีมีขึ้นหลังจากสำนักงานอาหารและยาแห่งชาติสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) ในช่วงเย็นวันพฤหัสบดี (12 ส.ค.) อนุมัติให้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแก่คนไข้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
แพทย์หญิงไรมอยน์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นบีซี ว่า ทั้ง 2,หน่วยงานได้ดำเนินการตัดสินใจที่สำคัญอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับประชากรผู้มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ "ตอนที่พวกเขาเข้ารับวัคซีน พวกเขาไม่มีการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันในปริมาณที่เพียงพอที่จะปกป้องพวกเขาจากไวรัสนี้" ไรมอยน์ระบุ "นั่นคือเหตุผลว่าทำไมทั้งเอฟดีเอและซีดีซี แนะนำให้คนเหล่านี้ฉีดวัคซีนเพิ่ม ซึ่งในผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่ามันช่วยเพิ่มการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน"
คนไข้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอคิดเป็นราวๆ 2.7% ของประชากรวัยผู้ใหญ่สหรัฐฯ และเป็น 44% ของเคสฉีดวัคซีนครบแล้วแต่ยังติดเชื้อ (breakthrough infections)
(ที่มา : ซีเอ็นบีซี)