'LPN' ลุยเปิด 5 โครงการมูลค่า 6.9 พันล้านครึ่ง ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มีพื้นที่ส่วนตัว

'LPN' ลุยเปิด 5 โครงการมูลค่า 6.9 พันล้านครึ่ง ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มีพื้นที่ส่วนตัว

  • 0 ตอบ
  • 83 อ่าน

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

dsmol19

  • *****
  • 2466
    • บุคคลทั่วไป
    • ดูรายละเอียด
  • ชื่อ-นามสกุล: -
  • เบอร์ติดต่อ/โทรศัพท์มือถือ: -
  • ที่อยู่/สถานที่ติดต่อ: -
  • ระบุจังหวัด: -
  • ดูรายละเอียด
  • ข้อความส่วนตัว (ออฟไลน์)

     
   
 





LPN เดินหน้าเปิดตัว 5 โครงการใหม่ มูลค่า 6,900 ล้านบาทในครึ่งหลังของปี 2564พร้อมเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “Villa 168 @ Westgate” เจาะตลาด Gen Y และ Young Affluent เพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จต้องการที่อยู่อาศัยที่มีความเป็นส่วนตัว(Privacy) มั่นใจปีนี้รายได้รวมได้ตามเป้าหมาย 7,000 ล้านบาท

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทในครึ่งหลังของปี 2564 ว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ในไตรมาสสองที่ผ่านมาและยังคงต่อเนื่องในไตรมาสสามของปีนี้ ประกอบกับมาตรการปิดแคมป์คนงานก่อสร้าง 30 วันในเดือนกรกฎาคม 2564 และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดล่าสุดตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้บริษัทมีการปรับแผนการเปิดตัวโครงการในปี 2564 จากเดิมที่วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ประมาณ 8-9 โครงการ มูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท ในปี 2564 ปรับเป็นเปิดตัวโครงการใหม่ 6 โครงการ มูลค่า 9,600 ล้านบาท



ทั้งนี้ได้เปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้ว 1 โครงการคือ โครงการ “บ้าน 365 แจ้งวัฒนะ-เมืองทอง” ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมามูลค่าโครงการ 2,700 ล้านบาท และจะเปิดอีก 5 โครงการ มูลค่า 6,900 ล้านบาท ในครึ่งหลังของปี 2564 เป็นโครงการบ้านพักอาศัย 3 โครงการ มูลค่า 1,400 ล้านบาท และอาคารชุดพักอาศัย 2 โครงการ มูลค่ารวม 5,500 ล้านบาท โดยยังคงตั้งเป้ารับรู้รายได้รวมปี 2564 ไว้ที่ 7,000 ล้านบาทตามแผนเดิมที่วางไว้



ขณะเดียวกันเพื่อทำให้ยอดโอนเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แม้ในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 บริษัทได้มีการเพิ่มกลยุทธ์การขายโดยการนำเทคโนโลยีการเข้าเยี่ยมชมโครงการในแบบ 3-D Virtual Interactive ให้ลูกค้าสามารถเข้าชมโครงการของบริษัทได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้นผ่าน 3-D Digital Platform โดยที่ลูกค้าไม่ต้องเดินทางมาที่โครงการและเป็นส่วนหนึ่งในการลดการแพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นอีกก้าวของการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการขายอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น



สำหรับการลดจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่จาก 8-9 โครงการ เป็น 6 โครงการในปี 2564 นั้นไม่ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายยอดขายรวมที่ตั้งไว้ที่ 10,000 ล้านบาทในปี 2564 ขณะที่ยอดขายในครึ่งแรกของปี 2564 ทำได้ 4,170 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 41.70% ของเป้าหมายยอดขายที่วางไว้ ในขณะที่เรามีสินค้าคงเหลือพร้อมขาย(Inventory) ทั้งอาคารชุดพักอาศัยและบ้านพักอาศัย มูลค่ารวม 9,500 ล้านบาท และบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อีกมูลค่า 2,700 ล้านบาท

นายโอภาสกล่าวอีกว่า ปัจจุบัน LPN อยู่ระหว่างการปรับปรุง Business Model เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้รวมแตะระดับ 20,000 ล้านบาท ในปี 2567 ซึ่งในปี 2564 เป็นปีแรกที่มีการปรับโครงสร้างและกลยุทธ์องค์กร ซึ่งจะค่อยๆเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น ทำให้บริษัทเดินหน้าในการสร้างการเติบโตกลับมา แม้ว่าในปัจจุบันจะมีปัจจัยกดดันต่อภาพรวมของธุรกิจเข้ามาอยู่ แต่เชื่อมั่นว่า หากปัจจัยที่กดดันได้ผ่านพ้นและคลี่คลายลงไป บริษัทมีความพร้อมที่จะเดินหน้ารุกธุรกิจอย่างเต็มที่เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้



โดยในการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 นายโอภาส กล่าวว่า บริษัทมีแผนเปิดตัวแบรนด์ใหม่สำหรับบ้านพักอาศัย ภายใต้แบรนด์ “Villa 168 @ Westgate” เป็นบ้านพักอาศัยที่ถูกออกแบบให้มีความเป็นส่วนตัว (Privacy) มีเพียง 20 หลัง บนทำเลศักยภาพย่านบางใหญ่ ใกล้แนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางใหญ่-บางซื่อ มูลค่าโครงการ 226 ล้านบาท และเปิดตัวบ้านพักอาศัยอีก 2 โครงการภายใต้แบรนด์ “ลุมพินี ทาวน์เพลส” ที่ ลาดพร้าว 101-โพธิ์แก้ว มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท และ “ลุมพินี ทาวน์วิลล์” ที่ สายไหม 18-สะพานใหม่ มูลค่าโครงการ 562 ล้านบาท นอกจากนี้ยังเปิดตัวโครงการอาคารชุดพักอาศัย 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ “ลุมพินี วิลล์ จรัญฯ-ไฟฉาย” มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท และโครงการ “ลุมพินี มิกซ์ นราธิวาส-รัชดา” มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท โดยจะทะยอยเปิดตัวโครงการเมื่อสถานการณ์ล็อกดาวน์คลี่คลาย

อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลายได้เร็ว บริษัทอาจจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาเป็นโครงการอาคารชุดภายใต้แนวคิดใหม่ที่ตอบโจทย์สำหรับคน Gen Y และ Young Affluent ที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่มีความเป็นส่วนตัว (Privacy) สะดวกสบาย ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีในรูปแบบของ “Smart Residence” ที่เราอาจจะเปิดตัวได้ปลายปีนี้หรือต้นปี 2565



นายโอภาส กล่าวอีกว่า ตลาดอสังหาฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงประมาณ 30% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2563 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างไรก็ตามบริษัทคาดว่าแนวโน้มของตลาดอสังหาฯ จะฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 โดยประมาณการณ์ว่า ตลาดอสังหาฯ จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่เติบโตประมาณ 5-10% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 เนื่องจากผู้ประกอบการอสังหาฯ เร่งเปิดตัวโครงการใหม่เพื่อมาชดเชยกับสินค้าคงเหลือที่ลดลง เพื่อให้สามารถสร้างรายได้ต่อเนื่องในปี 2565-2567



ขณะที่อัตราดอกเบี้ยต่ำและการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการส่งออก เป็นปัจจัยบวกที่กระตุ้นเศรษฐกิจและยอดขายอสังหาฯ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงทางธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ยังคงเป็นเรื่องของภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นแตะระดับ 90% ทำให้สถาบันการเงินระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Mortgage Loan) มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อสูงในระดับ 40-50% ประกอบกับความไม่มั่นใจในรายได้ในอนาคตของกลุ่มลูกค้าบางกลุ่มที่ทำให้ชะลอการตัดสินใจซื้อ ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว บริษัทได้มีแนวทางในการช่วยเหลือลูกค้าให้สามารถได้รับอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยบริษัทได้ร่วมมือกับสถาบันการเงินทำหน้าที่ให้คำแนะนำและเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisor) ให้กับลูกค้าในการจัดทำฐานะทางการเงินให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของสถาบันการเงิน เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน นอกจากนี้ บริษัทยังมีแคมเปญ “Staff Get Member” เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงครึ่งหลังของปี รวมถึงเตรียมออกกลยุทธทางการตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยให้ลูกค้าเป็นเจ้าของบ้านได้ง่ายขึ้น