โบรกคาด 'โรงแรมใหญ่' กระแสเงินสดรองรับวิกฤติได้ '2-4ปี'

โบรกคาด 'โรงแรมใหญ่' กระแสเงินสดรองรับวิกฤติได้ '2-4ปี'

  • 0 ตอบ
  • 78 อ่าน

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Beer625

  • *****
  • 3030
    • บุคคลทั่วไป
    • ดูรายละเอียด
  • ชื่อ-นามสกุล: -
  • เบอร์ติดต่อ/โทรศัพท์มือถือ: -
  • ที่อยู่/สถานที่ติดต่อ: -
  • ระบุจังหวัด: -
  • ดูรายละเอียด
  • ข้อความส่วนตัว (ออฟไลน์)

     
   
 




    นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL เปิดเผยว่า หลังจากมีการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอก 3 ที่รุนแรงขึ้นและมีมาตรการล็อกดาวน์เข้มขึ้น  ทำให้แนวโน้มผลการดำเนินงานธุรกิจโรงแรมช่วงครึ่งหลังปี 2564 ยังคาดการณ์ได้ยากจากครึ่งแรกปี 2564 ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 

     ทั้งนี้ บริษัทได้มีการปรับแผนกลยุทธ์ให้ยืดหยุ่นสอดคล้องกับสถานการณ์อยู่ตลอดเวลาและเตรียมความพร้อมมาตั้งแต่ปีก่อน ขณะเดียวกันด้านสภาพคล่องของบริษัทมีการเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์เช่นนี้ต่อไปได้ถึงสิ้นปีหน้า ด้วยกระแสเงินสดที่อยู่ในระดับสูง และมีหนี้สินต่อทุนที่อยู่ในระดับต่ำมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด-19 จึงไม่น่ากังวล  

     "เรายังคงทำธุรกิจด้วยความหวังว่า หากสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ ยอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวันเริ่มลดลง มีวัคซีนทางเลือกเข้ามาและกระจายฉีดวัคซีนสร้างภูมิกันหมู่ได้  มียอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวันลดลง ส่งผลดีต่อธุรกิจโรงแรมในระยะข้างหน้า ซึ่งเราปรับแผนและเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเมื่อเปิดประเทศ"  

นายพชระ เลิศวิราม นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า  แนวโน้มธุรกิจโรงแรมในปี2564คาดยังคงมีผลขาดทุน แต่จะขาดทุนลดลงจากปีก่อน เนื่องจากโรงแรมมีการปรับลดต้นทุนค่าใช้จ่ายมาต่อเนื่อง     

      ทั้งนี้คาดว่าธุรกิจโรงแรมจะกลับมามีกำไรได้ในช่วงกลางปี2565  หากสามารถคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19ระลอก 3 ได้ในไตรมาส 3 ปีนี้ ซึ่งน่าเป็นจุดต่ำสุดของผลดำเนินงานธุรกิจโรงแรม เพราะหากมีการกระจายวัคซีนได้ ทำให้จำนวนยอดผู้ติดเชืื้อลดเริ่มลดลงในไตรมาส 4 ปีนี้ เริ่มเปิดเมือง มีการเดินทางของคนภายในประเทศและเปิดประเทศ นักท่องเที่ยวต่างประเทศเริ่มกลับมาได้คาดว่า่ในปี2566 จะกลับมาเท่าก่อนโควิดในปี 2562 จะส่งผลดีต่อกำไรของธุรกิจโรงแรมในระยะข้างหน้า   

    " คาดว่าสถานการณ์โควิด-19ในต่างประเทศน่าจะฟื้นตัวได้ดีและเร็วกว่าในไทย ส่งผลดีการฟื้นตัวของ MINT และการสร้างรายได้จากต่างประเทศถึง 70%"      

    อย่างไรก็ตาม ทางด้านฐานะการเงินธุรกิจโรงแรมยังแข็งแกร่ง สภาพคล่องไม่น่าห่วง ยังรองรับผลกระทบจากโควิด-19ได้ถึงสองปี  โดย ณ ไตรมาส 1 ปี 2564  พบว่า CENTEL มีเงินสดและเงินกู้ 9,700ล้านบาท รองรับทำธุรกิจได้48เดือน,ERW มีเงินสดและเงินกู้6,500 ล้านบาท รองรับรับทำธุรกิจได้ 26 เดือน ,MINT มีเงินสดและเงินกู้43,000ล้านบาท รองรับทำธุรกิจได้30กว่าเดือน 

       
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า กำไรของกลุ่มธุรกิจโรงแรมในไตรมาส 3  ปีนี้ คาดยังมีผลขาดทุนอยู่ แต่ปรับตัวลดลง จากช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ คาดการณ์CENTEL ขาดทุน 507 ล้านบาท ERW ขาดทุน 578 ล้านบาท และMINT ขาดทุน6,521 ล้านบาท

      "คาดไตรมาส 3ปีนี้น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของธุรกิจโรงแรม โดยผู้ติดเชื้อใหม่รายวันพุ่งสูงสุดราวกลางเดือน ต.ค. และในไตรมาส 4ปีนี้ คาดว่าน่าจะดีขึ้นหากมีวัคซีนทางเลือกเข้ามามีการกระจายวัคซีนมากขึ้น ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวันลดลงในบางพื้นที่ จนสามารถเริ่มเปิดเมืองโดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่ได้ จะสนับสนุนธุรกิจโรงแรมกลับมาฟื้นตัว 

        ดังนั้น มองว่า MINT  ที่มีสัดส่วนรายได้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดยุโรป  ที่มีพัฒนาการฟื้นตัวจากโควิด-19อย่างต่อเนื่องและยังมีฐานะการเงินแข็งแกร่งจากการขายโรงแรมในต่างประเทศ และเช่ากลับมา